วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Romans 10


                                2.การปฏิเสธนำสู่การไร้ความเชื่อ (10-1-15)
            โรม 10 - 1
ในตอนต้นของบทที่ 9 เปาโลพูดถึงภาระใจของท่านต่อความรอดของพวกอิสราเอล เมื่อกล่าวถึงความจริงที่ว่าอิสราเอลสะดุดในข้อที่แล้ว เปาโลก็อธิบายเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงสะดุด เปาโลยืนยันความรักของท่านต่อพี่น้องร้วมชาติอย่างชาญฉลาด ก่อนที่ท่านจะขยายความในหัวข้อความผิดพลาดของคนอิสราเอล
            คำว่า “พี่น้อง” มาจากคำภาษากรีกสองคำ คำนึงหมายถึง “อันหนึ่งอันเดียวกัน” ส่วนอีกคำคือ “ครรถ์” เปาโลกำลังบอกว่าตัวท่านและพวกยิวเป็นพี่น้องที่มาจากพ่อแม่เดียวกัน
            แม้ท่านจะเขียนถึงความล้มเหลวของพวกเขา แต่ท่านก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขา ความปราถนาของเปาโลที่อยากจะเห็นคนยิวได้รับความรอดปรากฏอย่างชัดเจนเมื่อเปาโลพยายามนำพระกิตติคุณมาประกาศกับพวกยิวก่อน ซึ่งจะเห็นได้จากหนังสือกิจการ
            โรม 10 – 2
            เปาโลยืนยันว่าท่านเข้าใจความกระตือรือร้นของชาวยิวในเรื่องพระเจ้าเพราะท่านเองก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน และก็เคยเป็นผู้นำในการข่มเหงคริสเตียนเพราะคิดว่าพวกเขาเป็นพวกที่ทรยศต่อพระเจ้าและต่อบรรพบุรุษของอิสราเอล แต่อย่างไรก็ตามในข้อนี้ท่านได้กล่าวว่าความกระตือรือร้นของพวกยิวนั้น หาได้เป็นตามปัญญาไม่ คือไม่ได้ตั้งอยู่บนความรู้ที่ถูกต้อง พวกเค้ามีความร้อนรนจริง แต่เป็นความร้อนรนทำไปในแนวทางที่ผิด อิสราเอลถูกเรียกว่าเป็นพวกมัวเมาพระเจ้า คนยิวมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าแต่ไม่ใช่ความรู้ที่สมบูรณ์ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สะดุดพระเยซูและแสวงหาความชอบธรรมโดยการประพฤติ

            โรม 10 – 3
            พวกยิวนั้นไม่เข้าใจความชอบธรรมที่แท้จริงที่มาจากพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามสร้างความชอบธรรมของพวกเขาขึ้น พวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า ความชอบธรรมที่เปาโลได้กล่าวถึงในบทที่ 3-8 นั้นมีลักษณะตรงข้ามกับความชอบธรรมในรูปแบบที่ชาวยิวกำลังเข้าใจและปฏิบัติอยู่ คนยิวนั้นไม่เข้าใจเรื่องความชอบธรรมของพระเจ้า และนี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงพยายามตั้งความชอบธรรมของตนขึ้น จึงไม่น่าสงสัยเลยที่พวกเขาไม่ยอมรับความชอบธรรมที่พระเจ้าเตรียมไว้ในทางพระเยซูโดยความเชื่อ
            ผลผลิตของการตั้งความชอบธรรมขึ้นเองก็คือการตีความธรรมบัญญัติตามความคิดของตนเอง พวกยิวไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาปฏิบัติตามข้อความในหนังสือ “มิชนาร์” และหนังสือ “ทอลมุด” ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนโดยพวกธรรมาจารย์เพื่ออธิบายว่าคนยิวจะปฏิบัติตัวอย่างไนในแต่ละกรณี และคำอธิบายเหล่านี้ไม่ถูกต้องตรงเจตนารมณ์ของธรรมบัญญัติ และนี่ก็คือความชอบธรรมที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง
            โรม 10 – 4
            ข้อนี้จึงหมายความว่าพระเยซูทรงเป็นเป้าหมายหรือเป็นจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นจุดประสงค์ที่ธรรมบัญญัติมุ่งไปถึง พระคริสต์เป็นเหตุให้เราตระหนักว่าธรรมบัญญัติไม่ได้เป็นทางนำสู่ความชอบธรรม และการทำความดีไม่ได้ทำให้เราเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า ธรรมบัญญัติเป็นตัวบ่งชี้ให้เรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนชอบธรรมและจำเป็นต้องพึ่งพระคริสต์
           

พระองค์มอบชีวิตของพระองค์เพื่อเป็นค่าไถ่บาปสำหรับโทษบาปและการฝ่าฝืนธรรมบัญญัติของมนุษย์ ธรรมบัญญัติชี้ไปที่พระองค์ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นแหล่งของความชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้ คนยิวที่รักพระเจ้า ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า จะเชื่อในพระเยซูคริสต์และรับความชอบธรรมจากพระเจ้า ส่วนคนยิวที่แสวงหาความชอบธรรมของตัวเองด้วยการประพฤติมักจะมองไม่เห็นว่าพระเยซูคริสต์ว่าเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติและพวกเขาก็สะดุดพระองค์
โจม 10 – 5
ในข้อนี้เปาโลพูดถึงการได้รับความชอบธรรมของคนยิวโดยการใช้ธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ทรงประทานแก่โมเสสในเลวีนิติ 18-5 ซึ่งเรียกร้องให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ดังที่ปรากฏอยู่ในกฏเกณฑ์และข้อกำหนดต่างๆของพระองค์ โมเสสกล่าวว่าบุคคลที่ประพฤติตามพระบัญญัติจะ “ได้ชีวิตโดยการประพฤตินั้น”
พวกยิวนั้นเข้าใจว่าการถือรักษาพระบัญญัติจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาใช้เลวีนิติ 18-5 มาสนับสนุนความคิดของพวกเขา แต่อย่างไรก็ตามเนื้อหาที่โมเสสเขียนนี้เป็นช่วงเวลาที่เขากำลังสอนชนชาติอิสราเอลให้ดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรม ตรงข้ามกับบรรดาคนนอกศาสนาที่ไร้ศีลธรรมที่แวดล้อมพวกเขาในเวลานั้น นั่นแสดงว่าพวกยิวตีความหมายของโมเสสผิดไป
เปาโลกล่าวถึงความตรงข้ามของการแสวงหาความชอบธรรมด้วยการประพฤติ เพื่อแสดงให้เห็นพระคุณของพระเจ้าที่ประทานความชอบธรรมให้มนุษย์ผ่านทางพระคริสต์โดยความเชื่อ ถ้าคนยิวได้รับความชอบธรรมด้วยการประพฤติตามพระบัญญัติ ความชอบธรรมก็จะเป็นแค่ความสำเร็จของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าประทานให้

โรม 10 – 6 – 7
ในสองข้อนี้เปาโลได้ใช้ข้อความหลายตอนจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ 30-12-14 เพื่อแสดงว่ามนุษย์ไม่สามารถทำให้ตัวเองเป็นคนชอบธรรมได้ คำว่า”ไม่มีผู้ใดสามารถขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อนำพระคริสต์ลงมา” หมายความว่าการที่พระคริสต์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า และคำว่า “ใครจะลงไปยังที่ลึก” ในข้อที่ 7 นี้ หมายถึงความตายและหลุมฝังศพ ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติโมเสสใช้คำว่า “ทะเล” แต่เปาโลใช้คำว่า “ที่ลึก” ใครกันที่จะลงไปในหลุมฝังศพและสามารถทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา
เปาโลกล่าวเปรียบเทียบอย่างนี้เพื่อจะบอกว่าจะได้รับความชอบธรรมได้อย่างไร ซึ่งคำตอบอยู่ในข้อ 8 ครับ
โรม 10 – 8
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเปาโลได้คัดข้อความมาจากเฉลยธรรมบัญญัติ 30-12-14 ซึ่งเป็นหนึ่งในคำสั่งของโมเสสต่ออิสราเอลในยุคนั้นก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่คานาอัน พระเจ้าสัญญาว่าจะอวยพรแก่คนที่มีความเชื่อและเชื่อฟัง และจะทรงลงโทษคนที่ปฏิเสธและคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า
เมื่อเปาโลบอกว่าถ้อยคำนั้นอยู่ใน “ปาก” และ “ใจ” ท่านกำลังพูดถึงความเชื่อ ซึ่งท่านจะได้อธิบายต่อไปในข้อ 9 ซึ่งก็พูดถึงปากและใจด้วย
โรม 10 – 9 - 10
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าพระคัมภีร์สองข้อนี้พูดถึงขั้นตอนที่นำไปสู่ความรอด เปาโลได้อธิบายในข้อ 9 ว่าสิ่งที่ทุกคนจะต้องกระทำเพื่อให้ได้รับความรอดคือ “รับด้วยปากและเชื่อในจิตใจ”
คำว่า “รับ” ในภาษากรีกนั้นมีความหมายว่า “สารภาพ” และเป็นการยอมรับอย่างเปิดเผยด้วย การสารภาพด้วยปากว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้านั้นคือเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความเป็นคริสเตียน (ดู ฟป.2-11 + 1 คร. 12-3) การยอมรับด้วยปากไม่ได้หมายถึงแค่การสารภาพว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย แต่ยังหมายถึงการเชื่อฟังและการยอมจำนนต่อพระองค์อีกด้วย
เชื่อในจิตใจ หมายถึงความเชื่อมั่นและเกี่ยวข้องกับความเต็มใจและการอุทิศตัว จุดเริ่มต้นของความเชื่ออยู่ที่จิตใจ คำว่า “จิตใจ” ในภาษากรีกไม่ได้หมายถึงหัวใจ แต่หมายถึงจุดศูนย์กลางในความคิดและความรู้สึกของมนุษย์
ผลของการรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจเป็นความรอดที่แท้จริง คำว่า “ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม” แปลตรงตัวว่าความเชื่อนำไปสู่ความรอด
การยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด แปลตรงตัวว่า “การสารภาพนำไปสู่ความรอด” ขั้นตอนทั้งสองนี้ไม่ได้เป็นขั้นตอนที่แยกกัน ทั้งสองขั้นตอนต้องดำเนินไปพร้อมกัน ความรอดมาจากการยอมรับว่าพระเยซูคริสต์คือพระเจ้าและเชื่อในพระองค์ การยอมรับด้วยปากสำคัญเท่ากับความเชื่อในจิตใจ ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้และเป็นสิ่งที่จะนำเราไปสู่ความรอด
โรม 10 – 11
เปาโลหยิบยกเอาข้อความจากพระธรรมอิสยาห์ 28-16 มากล่าวอีกครั้งนึงในตอนนี้ และก่อนหน้านี้ในโรม 9-33 เปาโลก็ได้อ้างอิงอิสยาห์ 28-16 ด้วยเช่นกัน
คำว่า “ไม่ได้รับความอับอาย” หมายถึงการพิพากษา (อสย 50-7-8) คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูจะไม่ได้รับการพิพากษา และเปาโลยกเอาข้อความในหนังสืออิสยาห์มาเป็นเหตุผลว่า
“เพราะว่าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ขายหน้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟและข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้อาย เพราะพระองค์ผู้ทรงแก้แทนข้าพเจ้าก็ทรงอยู่ใกล้ ใครจสู้คดีกับข้าพเจ้า ก็ให้เรายืนอยู่ด้วยกัน ใครเป็นปฏิปักษ์ของข้าพเจ้า ก็ให้เขามาใกล้ข้าพเจ้า
โรม 10 – 12
ไม่ทรงถือว่าต่างกัน หมายความว่า ทั้งยิวและต่างชาติเป็นคนบาปเหมือนกัน (รม.3-23) ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการความรอดเหมือนกันซึ่งจะได้มาโดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น
เปาโลกล่าวว่าพระเจ้าองค์นี้เป็นพระเจ้าของคนทั้งปวง และทุกคนที่ทูลขอต่อพระองค์จะได้รับพระราชทานอย่างบริบูรณ์ ในข้อนี้เปาโลกำลังพูดถึงพระพรที่พระเจ้าจะทรงประทานให้แก่ผู้ที่ได้รับความรอด (เอเฟ 1.3)
โรม 10 – 13
ข้อความในพระคัมภีร์ตอนนี้นำมาจากโยเอล 2.32 ซึ่งเปโตรเองก็เคยอ้างอิงข้อความนี้เมื่อท่านลุกขึ้นเทศนาให้คนมากมายฟังในวันเพนคศเต ประตูแห่งความรอดได้เปิดไว้สำหรับทุกคนแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธไม่ยอมรับผู้ที่พระเจ้าได้ทรงส่งมาก็ตาม (กจ 2-21)
คำว่า “ร้องออกพระนาม” หมายถึงการอธิษฐานขอความรอดด้วยความเชื่อ (กจ 3-16) ความรอดที่พระคริสต์ประทานให้นั้น มีผลทั้งในปัจจุบันและนิรันดร์กาล (ยน 5-24 / 10-28-29 / รม 8-32-39 / ฮบ 11-1)


โรม 10 – 14
ข้อ 14 – 15 เปาโลได้เปลี่ยนเรื่องจากความรับผิดชอบของบุคคลมาเน้นที่ผู้เชื่อจะต้องมีแผนงานของพระเจ้าในการช่วยเหลือผู้หลงหลงหาย ข้อความในตอนนี้มีความสละสลวยมากตอนนึงในพระคัมภีร์ แต่ละคำถามจะสอดคล้องเชื่อมโยงไปยังคำถามต่อไป คำถามทั้งหมดนี้มาเป็นขั้นตอน ย้อนลำดับจากท้ายสุดขึ้นไปจนถึงคำถามแรก และทั้งหมดนี้คือขั้นตอนที่จะช่วยให้บุคคลได้รับความรอด
ขั้นแรก – ต้องมีคนที่ถูกส่งออกไปประกาศพระกิตติคุณ คือใครสักคนนึงที่ถูกส่งออกไปกล่าวเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ เหมือนที่เปาโลถูกส่งมาบอกเล่าข่าวประเสริฐแก่ชาวโรมและเมืองอื่นๆ
การถูกส่งออกไปทำให้เห็นองค์ประกอบสองอย่าง อย่างแรก บุคคลผู้ถูกส่งไปนั้นอยู่ภายใต้ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเขา และข่าวสารที่เขาประกาศนั้นมิได้เกิดจากความคิดหรือความปราถนาของเขาเอง
ขั้นที่สอง – ต้องมีการประกาศพระกิตติคุณ การแจ้งข่าวสารให้ทราบ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะบนธรรมาสน์เท่านั้น ดังนั้นคริสเตียนทุกคนสามารถแจ้งข่าวสารเกี่ยวกับพระกิตติคุณให้คนอื่นทราบได้
ขั้นที่สาม – มีผู้ได้ยินพระกิตติคุณ คำภาษากรีกของคำว่าพระกิตติคุณคือ “ข่าวดีหรือสิ่งดี” เพราะคำว่า “ได้ยิน” ในภาษากรีกไม่ได้มีความหมายแค่การได้ยิน แต่หมายถึงการได้ฟังเนื้อหาสาระจนเกิดความเข้าใจ ดังนั้นการประกาศจึงเป็นการอธิบายถึงเรื่องราวการมาเกิด พระราชกิจ การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเบซู เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ
ขั้นสุดท้าย – บังเกิดความเชื่อขึ้นก่อนที่จะร้องทูลขอความรอดจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อคนใดคนหนึ่งเชื่อในพระเยซูคริสต์เขาก็จะทูลขอต่อพระองค์
โรม 10 – 15
ข้อพระคัมภีร์นี้อ้างอิงมาจากอิยาห์ 52-7 อิสยาห์เขียนข้อความนี้เพื่อบรรยายถึงผู้นำข่าวสารไปประกาศกับคนยูดาห์ว่าการตกเป็นเชลยของพวกเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว เปาโลได้นำคำกล่าวนี้มาใช้กับชาวยิวผู้ซึ่งได้รับพระกิตติคุณในยุคของท่าน
เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆหนอ ผู้ฟังของเปาโลคงแปลกใจที่ท่านพูดถึงเท้าที่งดงาม แต่สิ่งที่เปาโลกำลังจะบอกก็คือเท้านั้นเป็นอวัยวะที่งดงามเพราะมันเป็นพาหะในกานำข่าวประเสริฐแห่งความรอดมาถึงคนบาป
โรม 10 – 16
เรื่องน่าเศร้าเกี่ยวกับการประกาศพระกิตติคุณปรากฏอยู่ในข้อ 16 นี้เองคือ “ไม่ใช่ทุกคนได้เชื่อฟัง” คำในภาษากรีกหมายถึง “การฟังด้วยความรู้สึกและตอบสนองในทางบวก” จากนั้นเปาโลก็ยกคำของอิสยาห์มากล่าวไว้ว่า “ใครเล่าได้เชื่อในสิ่งที่เข้าได้ยินจากเราทั้งหลาย” พวกยิวไม่ยอมตอบสนองต่อข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยของพระเยซูและในสมัยของเปาโลด้วย

โรม 10 – 17 - 18
เปาโลได้สรุปสิ่งที่ท่านกล่าวไปก่อนหน้านี้ไว้ในข้อนี้ “ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน”  และ “การได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์” แปลได้ว่า การได้ยินเกิดจากการป่าวประกาศและเนื้อหาของการป่าวประกาศก็คือพระเยซู
เปาโลได้ตั้งคำถามดักหน้าผู้อ่านของท่านคือ “เขาทั้งหลายไม่ได้ยินเหรอ” หมายความว่าชาวยิวไม่มีโอกาศได้ยินพระกิตติคุณหรือ แต่เปาโลก็ตอบคำถามนี้ว่า “เขาได้ยินแล้วจริง”
หนังสือโรมนั้นเขียนขึ้นราว 25 ปีหลังวันเพนศเต ในวันนั้นเปาโลได้ลุกขึ้นประกาศพระกิตติคุณและมีคนถึง 3000 คนที่กลับใจใหม่ และต่อมาก็มีคนใหม่ๆมารับความรอดทุกวัน (กจ. 2-47) เปาโลรู้ว่าข่าวประเสริฐไม่เพียงประกาศแต่ในปาเลสไตน์เท่านั้น แต่ยังมีการประกาศในประเทศอื่นๆด้วย
ตัวเปาโลเองและเพื่อนร่วมงานก็ประกาศอย่างหนักในประเทศต่างๆแถบเมดิเตอร์เรเนี่ย เปาโลจึงตอบคำถามที่ท่านเองแต่งขึ้นโดยหยิบยกข้อความจากพระธรรมสดุดี 19-4 มาใช้เพื่อยืนยันว่าชาวยิวเกือบทุกหนทุกแห่งได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว
ดังนั้นชาวยิวจึงไม่มีข้อแก้ตัวว่าเขาไม่มีโอกาศที่จะได้ยินพระกิตติคุณ จัสติน มาร์เทอร์ (ผู้นำคริสตจักรในศตวรรษที่ 2) ได้เขียนไว้ว่า “ไม่มีคนของชนชาติใดที่จะอธิษฐานและโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าโดยไม่ออกนามของพระเยซูผู้ถูกตรึงกางเขนนั้น มีเขียนไว้ในหนังสือว่าในช่วงปลายยุคของอัครสาวกประมาณว่ามีคริสเตียนอยู่ราว 500.000 คนเลยทีเดียว

โรม 10 – 19
เปาโลคาดว่าผู้อ่านของท่านอาจจะโต้แย้งหรือไม่ก็อาจจะบอกว่าชาวยิวได้ยินข่าวประเสริฐจริงแต่ไม่เข้าใจ เปาดลเลยถามว่า “พลอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ” คำตอบของคำถามนี้มาจากพระคัมภีร์เดิมสองตอน คือ เฉลยธรรมบัญญัติ 32-21 และอิสยาห์ 65-1
โรม 10 – 20
เปาโลได้ยกข้อความจากพระคัมภีร์เดิม (อสย 65-1) มากล่าวเพื่อสนับสนุนสิ่งที่ท่านได้กล่าวไปในข้อก่อน อิสยาห์ได้พยากรณ์ว่าจะมีผู้ที่มาถึงพระคริสต์ ซึ่งเป็นชนชาติที่ไม่เคยร้องออกพระนามของพระเจ้า
โรม 10 – 21
ข้อความตอนนี้คัดลอกมาจากพระธรรมอิสยาห์ 65-2 เพื่อบอกถึงสภาพทางฝ่ายจิตวิญญาณของคนอิสราเอล ซึ่งไม่ได้เกิดจากการขาดโอกาสที่จะได้ยินพระกิตติคุณ หรือขาดความเข้าใจในเนื้อหาของพระกิตติคุณ แต่ที่พวกเขาปฏิเสธเพราะพวกเขาเป็นกบฏมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่สมัยโมเสสและต่อเนื่องมาจนถึงสมัยผู้เผยพระวจนะ และที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นคือพวกยิวยังปฏิเสธพระเยซูด้วยซ้ำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น