1 โครินธ์บทที่ 5
1 โครินธ์บทที่ 5-1-2
บทที่ 5 และบทที่ 6
นี้จะพูดเจาะจงลึกลงไปในรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรที่โครินธ์ครับผม
เปาโลนั้นรักพี่น้องในคริสตจักรโครินธ์แต่เขาก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องลงวินัยพวกเขา
ลงวินัยก็คือการลงโทษนั่นเองนะครับ เปาโลเขียนเกี่ยวกับปัญหาบางอย่างในคริสตจักร
เช่นการที่พวกเขาไม่ได้ลงโทษพี่น้องที่ทำผิด ซึ่งในบทที่ 5 จะเน้นในเรื่องนี้
การแก้ไขความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างพี่น้องและการรักษาความบริสุทธิ์ทางเพศ
ทั้งสองเรื่องหลังนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในบทที่ 6 ครับ
เป็นเรื่องที่เปาโลเป็นห่วงมากก็คือเมื่อมีพี่น้องในคริสตจักรทำความผิดแต่คริสตจักรกลับไม่ได้ลงวินัยคนที่ทำผิดนั่น
เช่นกันครับว่าเปาโลก็กลัวว่าพี่น้องจะติดนิสัยที่ไม่ดี
ติดนิสัยที่เป็นความบาป เปาโลเตือนพี่น้องด้วยความรัก เพราะกลัวว่าถ้ายังติดวิสัยบาปอยู่แบบนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงแผ่นดินสวรรค์เลย
ไม่มีทางได้ขึ้นแน่ๆ
และที่สำคัญเลยก็คือคริสตจักรละเลยที่จะลงวินัยหรือตักเตือนพี่น้องนั่นเอง
ทำไมคริสตจักรถึงได้ละเลยที่จะลงวินัยพี่น้องล่ะ เพราะความหยิ่งไง
ความเย่อหยิ่งนั้นตรงกันข้ามกับความรัก ความเย่อหยิ่งมันทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว
ความเย่อหยิ่งของคริสเตียนชาวโครินธ์ไม่ได้ทำให้เกิดการแตกแยกเท่านั้น
แต่มันยังทำให้เกิดความเฉยชาและความเต็มใจที่จะลงวินัยเพื่อตักเตือนพี่น้อง
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในคริสตจักรโครินธ์ล่ะ
ในข้อที่ 1 บอกว่า “มีคริสเตียนชาวโครินธ์คนหนึ่งล่วงประเวณีกับแม่เลี้ยงของตนเอง
แค่คิดด้วยสามัญสำนึกทั่วๆไปของมนุษย์ก็ยังรู้เลยว่ามันเป็นความผิด แต่ว่านี้มันเป็นการกระทำที่เป็นเรื่องต้องห้ามในพระคัมภีร์เดิม
(ลนต 18.18 / ฉธบ 22.22) ซึ่งข้อห้ามพวกนี้คริสเตียนน่าจะรู้ดีที่สุด แถมมันยังเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฏหมายโรมอีกด้วย
เปาโลคงอยากจะถามว่า “นี่หรือคือคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน เป็นสาวกของพระเจ้าน่ะ”
แต่เรื่องน่าอายเช่นนี้ที่มีคนนึงไปล่วงประเวณีกับแม่เลี้ยงของตนเองไม่ได้ทำให้คริสเตียนในโครินธ์รู้สึกอะไรเลย
เรื่องดังกล่าวนี้กลับทำให้พวกเขาเย่อหยิ่งมากขึ้น ทั้งๆที่การตอบสนองที่ถูกต้องควรจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทน
เพราะในหนังสือกาลาเทียบทที่ 6-1-2 ได้กล่าวไว้ว่า (อ่าน) เพราะถ้าอวัยวะหนึ่งเจ็บ
อวัยวะทุกส่วนของร่างกายก็เจ็บด้วย
ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทุกส่วนก็ร่วมฉลองด้วย ดังที่กล่าวไว้ใน
1 โครินธ์บทที่ 12-26
และที่แน่ๆเลยก็คือควรที่จะลงวินัยคนนั้นโดยตัดเขาออกจากคริสตจักรจนกว่าเขาจะกลับใจ
ดังที่ได้กล่าวไว้ในมัทธิวบทที่ 18-15-17
1 โครินธ์บทที่
5-3-5
เมื่อคริสเตียนชาวโครินธ์เพิกเฉยกับเรื่องเช่นนี้
เปาโลจึงรู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่าง
เพราะในฐานะที่เขาเป็นอัครทูตเขาจึงมีสิทธิตัดสินลงโทษผู้ที่ทำผิดได้
และเขาก็ขอให้คริสตจักรจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้ในการประชุมครั้งต่อไป เปาโลต้องการให้ชายคนนี้ออกจากคริสตจักร
ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการออกจากการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้าที่เขาได้รับเพื่อให้เขาได้ออกไปสู่สนามสู้รบแห่งโลกนี้ที่ซาตานจะฆ่าเขา
ซึ่งเหมือนกับในหนังสือ 1 ทิโมธีบทที่ 1-20 (อ่าน)
และนี่ก็จะเป็นตัวอย่างที่เจ็บปวดของการเพิกเฉยที่เห็นแก่ตัว
และบทเรียนที่เตือนสอนเรื่องความบริสุทธิ์ของพระวิหารแห่งพระเจ้า
อย่างไรก็ตามมันมีปัจจัยหลายประการที่อาจจะหมายถึงการลงวินัยแบบอื่นด้วย
เราไม่แน่ใจว่าการลงวินัยแบบอื่นจะเป็นยังไง แต่ไม่ว่าจะเป็นการลงวินัยแบบไหนก็ตามล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเดียวกันก็คือเพื่อรักษาความรอดของบุคคลนั้นไว้และเพื่อความบริสุทธิ์ของคริสเตียนผู้นั้นนั่นเอง
1 โครินธ์บทที่ 5-6
คริสเตียนในโครินธ์ไม่มีข้อแก้ตัวต่อพฤติกรรมที่น่าสมเพชของพวกเขา
เปาโลเตือนพวกเขาถึงความจริงที่พวกเขารู้แล้วแต่ไม่ได้ทำตาม นั่นคือ
“เชื้อขนมเพียงนิดเดียวย่อมทำให้แป้งดิบฟูทั้งก้อน” เพราะโรคเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้คนตายได้
ดังนั้นคริสตจักรจึงจำเป็นต้องลงวินัยคนที่ทำผิดด้วยพื้นฐานเดียวกันนั้น ก่อนที่ความบาปมันจะลามไปทั่วคริสตจักร
1 โครินธ์บทที่ 5-7-8
เช่นเดียวกับที่ชาวยิวกำลังกำจัดเชื้อขนมออกจากบ้านในช่วงเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ
(ถาม)ความบาปก็ควรที่จะถูกชำระออกจากพระนิเวศของพระเจ้าเช่นกัน
Matzah คือ ขนมปังไร้เชื้อในภาษาฮีบรู
เทศกาลขนมปังไร้เชื้อคืออะไร
อพยพ 12:15-20 และอพยพ 12:31-39 อธิบายถึงเทศกาลนี้อย่างชัดเจน
ขณะที่เทศกาลปัสกาเป็นเทศกาลที่พระเจ้าประทานไว้ให้โดยเฉพาะเพื่อระลึกถึงภัยพิบัติของลูกหัวปี
และการได้รอดพ้นจากพัยนั้นโดยความเชื่อวางใจในเลือดของลูกแกะปัสกา
เทศกาลขนมปังไร้เชื้อก็เป็นเทศกาลที่พระเจ้าทรงประทานให้โดยเฉพาะเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์จริงของการอพยพ
หรือ สภาพการณ์ที่คนอิสราเอลออกจากอียิปต์ นี่คือเหตุผลว่า
ทำไมจึงมีการฉลองเทศกาลนี้มาตลอดหลายชั่วอายุคน
เพื่อจะระลึกถึงความรีบเร่งของการหนีออกมาจากอียิปต์นั่นเอง
เทศกาลขนมปังไร้เชื้อกระทำเมื่อใด
เลวีนิติ 23:6-8 เทศกาลนี้จัดขึ้นวันที่ 15 เดือน นิสาน คือวันหลังจากเทศกาลปัสกา
7 วัน เทศกาลนี้ฉลองร่วมกันกับปัสกาเพราะว่าเป็นเวลาที่ใกล้กันมาก
ผู้เชื่อในพระเยซูสามารถเรียนรู้อะไรจากเทศกาลขนมปังไร้เชื่อ
มี 3 สิ่ง ที่เราสามารถเรียนจากเทศกาลนี้ได้
1. เทศกาลขนมปังไร้เชื้อเปิดเผยถึงการพักผ่อนที่สมบูรณ์ในพระเยซู
ผู้เชื่อในพระเยซูต้องพักพิงอย่างเต็มที่พบพระราชกิจการไถ่อันสูงสุดของพระเยซูซึ่งทรงกระทำบนไม้กางเขนและไม่พยายามให้ได้มาซึ่งความรอดด้วยวิธีอื่นใด
ยิ่งกว่านั้น เทศกาลนี้เป็นช่วงเวลาการเฉลิมฉลอง 7 วัน
ซึ่งพวกเขาจะกินแต่ขนมปังไร้เชื้อเท่านั้น เลขเจ็ดมีความหมายถึงความเต็มและความสมบูรณ์
เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการแยกอย่างเด็ดขาดจากสิ่งทั้งปวงที่มีเชื้อ
เพื่อจะรับประทานจากพระเยซู ผู้ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต
2. เทศกาลขนมปังไร้เชื้อเปิดเผยถึงพระเมสสิยาห์ผู้ทรงทนทุกข์
ขนมปังไร้เชื้อนี้ (matzah)
โดยตัวของมันเองเปิดเผยถึงพระเมสสิยาห์ใน 3 ด้าน
2.1 เปิดเผยถึง คำพยากรณ์ที่อ้างถึงพระเมสสิยาห์ว่าเป็นอาหารแห่งชีวิต
พระเยซูทรงบังเกิดในเบธเลเฮม คำนี้ หมายถึง “บ้านขนมปัง”
ไม่น่าประหลาดใจเลยว่าตลอดการทำพันธกิจของพระเยซู พระองค์ทรงประกาศว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต”
· อับราฮัมถวายขนมปังไร้เชื้อ 3 ก้อน ให้แก่พระเจ้า
(ปฐมกาล 18)
· อิสราเอลได้รับการเลี้ยงดูด้วยขนมปังจากสวรรค์ (มานา)
เป็นเวลา 40 ปี (อพยพ 16)
· การถวายธัญบูชาด้วยแป้งผสมเชื้ออย่างดีกับน้ำผึ้ง
ถูกห้ามไม่ให้นำไปอบ (เลวีนิติ 2)
· ในวิสุทธิสถานในพลับพลาของโมเสส มีขนมปัง 12 ก้อน
สำหรับปุโรหิตวางอยู่บนโต๊ะ
ขนมปังหน้าพระพักตร์
·
ทูตสวรรค์ของพระเจ้ายอมรับการถวายเครื่องบูชาด้วยขนมปังไร้เชื้อของกิเดโอน
“ขนมปังแห่งการทนทุกข์” ( ฉธบ. 16:3 )
พระเยซูได้ถูกเปิดเผยไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ ในพระคัมภีร์ใหม่
เราเห็นพระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิต ดังที่กล่าวกันว่า
พระคัมภีร์เดิมถูกเปิดเผยในพระคัมภีร์ใหม่
2.2 เปิดเผยถึงการทำให้คำพยากรณ์เรื่องพระเมสสิยาห์สำเร็จ
นับจากการโบราณ ขนมปังนั้นจะนำไปปิ้งบนเตาปิ้ง
ซึ่งทำให้ขนมปังเกิดรอยเป็นลายทาง “โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ทรงรักษาเราให้หาย” (อสย.
53:5) และเนื่องจากเป็นขนมปังกรอบ จึงใช้ของแหลมแทง
เพื่อจะไม่ให้เกิดฟองอากาศและแตกออก การทำเช่นนี้ทำให้ระลึกถึงพระคำ อิสยาห์ 53:3
ด้วยว่า “พระองค์ทรงถูกแทงเพื่อการล่วงละเมิดของเราทั้งหลาย”
ในยุคสุดท้าย คนยิว “จะมองดูพระองค์ผู้ที่เราได้แทง” และร้องไห้คร่ำครวญเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาและปรากฎพระองค์ต่อโลก (ศคย.
12:10 และ ยอห์น 19:37)
3.
เทศกาลขนมปังไร้เชื้อเปิดเผยให้เราเห็นความจำเป็นที่เราต้องกำจัดเชื้อที่อยู่ภายในเรา
ขนมปังไร้เชื้อในการถวายของปุโรหิตเพื่องานการปรนนิบัติ (เลวีนิติ 8:2,26; อพย. 29:2,23)
และร่วมกับการปฏิญาณตนแยกตัวเป็นนาคีร์ (กันดารวิถี 18:1-12)
เชื้อเป็นสัญลักษณ์ถึงความเสื่อมทรามทางศีลธรรม เพราะแป้งชิ้นเล็ก ๆ
ที่หมักเชื้อไว้ สามารถทำให้แป้งทั้งหมดเสียไปได้
พระเยซูและเปาโลกล่าวถึงเชื้อ 5 ชนิดที่เราต้องหลีกเลี่ยงเพื่อเราจะเป็นคนที่แยกตัวถวายแด่พระเจ้าได้
1. เชื้อของเฮโรด (มาระโก 8:15 ; 6:14-28) วิถีของโลก
2. เชื้อของพวกฟาริสี (มัทธิว 16:6-12 ; ลูกา 12:1) ความหน้าซื่อใจคด
3. เชื้อของพวกสะดูสี (มัทธิว 16:6-12) ความไม่เชื่อ
4. เชื้อของพวกโครินธ์ (1 คร. 5:1-13)
การทำตามความปรารถนาของเนื้อหนัง
5. เชื้อของพวกกาละเทีย (กาละเทีย 5:9) การถือกฎบัญญัติเกินควร
1 โครินธ์บทที่ 5-9-10-11
เปาโลเรียกร้องให้คริสตจักรลงโทษคนภายใน
ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องคริสเตียนหรือคนที่มีส่วนในคริสตจักร
การลงวินัยคนเช่นนี้คือการที่สมาชิกไม่คบหาเขา เช่น ไม่ให้เขาเข้าร่วมพิธีมหาสนิท
เพราะเชื่อว่าคนที่ทำผิดอาจจะยังมาร่วมประชุมคริสตจักรอยู่
แต่เขาจะรู้สึกผิดและกลับใจ
1 โครินธ์บทที่ 5-12-13
ไม่ใช่หน้าที่ของเปาโลที่จะไปตัดสินลงโทษคนภายนอกคริสตจักร
เพราะถ้าสังเกตุให้ดีตั้งแต่ข้อ 1-13 นี้ เปาโลไม่ได้พูดถึงการลงโทษสำหรับผู้หญิงเลย
ทำให้เราสามารถเดาได้ว่าผู้หญิงคนดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นคริสเตียนนั่นเอง คริสเตียนในโครินธ์เองก็ไม่มีสิทธ์ที่จะทำเช่นนั้น
เพราะการลงวินัยภายในคริสตจักรเป็นความรับผิดชอบของพวกเขา
และพระเจ้าจะตัดสินลงโทษคนภายนอก โดยให้ชายผู้หนึ่งที่พระองค์ทรงแต่งตั้งซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์เจ้า
(กิจการ 17-31)
แต่คนที่อยู่ในคริสตจักรแล้วยังทำบาปอย่างต่อเนื่องและไม่กลับใจนั้น
คริสตจักรต้องไม่คบหากับเขา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น