วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Romans 16


            โรม 16-1-16
            บางคนตั้งข้อสงสัยว่าในเมื่อเปาโลไม่เคยเดินทางไปที่กรุงโรม ดังนั้นท่านจึงไม่น่าจะรู้จักคริสเตียนที่นั่นเป็นการส่วนตัว แต่จากการเดินทางของเปาโลไปยังเมืองใหญ่หลายแห่ง เช่น เยรูซาเล็ม อันทิโอก ซีเรีย ฟิลิปปี เอเธนส์ โครินธ์ เอเฟซัส ทำให้เขารู้จักกับชุมชนหลายแห่งในสังคมโรมัน ปัจจัยเหล่านี้ช่วยอธิบายว่าทำไมเปาโลจึงมีเพื่อนหลายคนในกรุงโรม การที่ท่านรู้จักเพื่อนๆเหล่านั้นมีความเป็นไปอย่างไร แสดงให้เห็นว่าเปาโลเป็นคนที่สนใจคนอื่นเพียงใด
            ในคำแสดงความนับถือถึงคริสเตียนในกรุงโรมทำให้เราได้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสมาชิกในคริสจักรแห่งนี้ในช่วงปี ค.ศ. 57 เพราะเปาโลได้กล่าวถึงชื่อหลายคนที่ท่านได้พบปะในสถานที่ต่างๆระหว่างการเดินทางประกาศข่าวประเสริฐ และคนเหล่านี้ได้อาศัยอยู่ในกรุงโรมในขณะนั้น
            แนะนำตัวเฟบี (ข้อ 1-2)
            โรม 16-1
            “เฟบี” เป็นคนแรกที่เปาโลกล่าวถึง ชื่อของเธอแปลว่า “แสงสว่าง” ชื่อเฟบีเป็นอีกชื่อนึงของพระอาเทมิส จึงสันนิษฐานว่าเฟบีนั้นเป็นคริสเตียนชาวต่างชาติ เพราะคนยิวนั้นมักจะไม่ตั้งชื่อลูกตามชื่อเทพเจ้า เปาโลบอกว่าเธอเป็น “น้องสาว” เป็นพี่น้องในความเชื่อ นอกจากนั้นเธอยังมีฐานะเป็นมัคนายิก ของคริสจักรเมืองเคนเครีย ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆในอ่าวซาโรนิค ไปทางตะวันออกของเมืองโครินธ์ราว 15 กิโลเมตร เมืองนี้เป็นเมืองที่เจริญและมีการติดต่อทางการค้ากับหลายๆเมือง
            ความสำคัญของเฟบีอยู่ที่เธอคือผู้ถือจดหมายฉบับบนี้ไปยังคริสจักรในกรุงโรม
            โรม 16-2
            เปาโลขอให้คริสเตียนที่กรุงโรมต้อนรับและช่วยเหลือเฟบี คริสจักรต้องการรู้ว่าคนแปลกหน้าที่มาหาพวกเขานั้นเป็นคริสเตียนแท้หรือไม่จึงต้องมีใครบางคนที่เป็นคนแนะนำและรับรอง เพราะยุคนั้นก็ยังมีการข่มเหงอยู่ และบางคนอาจจะเข้ามาเพื่อจับพวกเขาก็ได้
            เปาโลบอกว่าเพราะนางได้ช่วยสงเคราะห์คนหลายคน ดังนั้นพวกเขาก็ควรที่จะช่วยเหลือเธอด้วย
            คำทักทายของเปาโล (3-16)
            คำทักทายมากมายที่เปาโลอยากจะฝากไปถึงพี่น้องคริสเตียนในกรุงโรมเป็นคำทักทายที่ยาวที่สุดในบรรดาจดหมาย เปาโลเอ่ยถึงชื่อคนหลายคน และสิ่งที่น่าสังเกตุก็คือ หลายคนในคริสตจักรมาจากฐานะต่างๆ ไม่ว่าหญิงหรือชาย บางคนเป็นทาส เป็นไท บางคนเป็นเพื่อนผู้รับใช้ ยากจน รวย มียศฐาบรรดาศักดิ์
            ชื่อที่เปาโลเอ่ยถึงเป็นชื่อในภาษาลาตินหรือภาษากรีก แม้หลายคนจะเป็นคนยิว แต่พวกเขาก็มีชื่อในภาษาอื่นเช่นเดียวกันกับเปาโล
            โรม 16-3-4
            เปาโลพบกับ “ปริสิลลาและอาควิลลา” ขณะที่เขาไปถึงเมืองโครินธ์ในการเดินทางไปประกาศในเที่ยวที่สอง (กจ.18-2) เปาโลทำงานและอาศัยอยู่กับพวกเขาเพราะมีอาชีพเดียวกันคือเป็นช่างเย็บเต้นท์ (กจ.18-3) พวกเขาต้องอพยพออกจากกรุงโรมไปยังเมืองโครินธ์เพราะกฏหมายของคลาวดิอัสในปี ค.ศ. 49 ที่ประกาศสั่งให้คนยิวทุกคนออกจากกรุงโรม
            ตามกิจการ 18-19 ปริสสิลลาและอาควิลลาได้ร่วเดินทางไปกับเปาโลเมื่อท่านเดินทางออกจากเมืองโครินธ์ เมื่อคณะเดินทางมาแวะพักที่เมืองเอเฟซัส เปาโลก็ละเขาไว้ที่นั้น ขณะที่เปาโลเดินทางต่อไปยังเมืองเยรูซาเล็มและอันทิโอก กิจการ 18-26 บอกว่าสามีภรรยาคู่นี้คือผู้ให้คำแนะนำแก่อปอลโลในเรื่องทางของพระเจ้าที่ถูกต้องยิ่งขึ้น นอกจากนั้นพวกเขาเป็นคนที่คอยดูแลเอาใจใส่เปาโลเมื่อท่านอยู่ที่เมืองเอเฟซัส
            ภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของคลาวดิอัสในปี 54 คำสั่งขับไล่ชาวยิวอาจจะยกเลิกไป และปริสสิลลากับอาควิลลาอาจจะกลับไปอยู่ที่กรุงโรมอีก และอาจจะเดินทางไปมาระหว่างกรุงโรม โครินธ์และเอเฟซัส
            พระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้บันทึกเหตุการณ์ที่สองคนนี้ช่วยชีวิตเปาโลไว้ แต่คริสจักรในเวลานั้นรับรู้กัน เปาโลชมเชยทั้งคู่และเรียกพวกเขาว่า “ผู้ร่วมงานกับข้าพเจ้าในพระราชกิจของพระเยซูคริสต์
            โรม 16-5
            เปาโลทักทายคริสจักรที่ประชุมกันที่บ้านของปริสสิลลาและอาควิลลา คริสเตียนในกรุงโรมคงนมัสการกันตามบ้านหลายหลัง และบ้านของปริสสิลลากับอาควิลลาก็เป็นหลังหนึ่ง ทั้งคู่มีบ้านที่เปิดให้ประชุมนมัสการที่เอเฟซัส บางทีอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ก็เปิดให้ประชุมนมัสการที่นั่น
            เอเปเนทัส เปาโลเรียกเขาว่า “ที่รักของข้าพเจ้า” ซึ่งก็หมายความว่าเพื่อนรักนั่นเอง เปาโลบอกว่าเอเปเนทัสเป็น “คนแรกที่เข้ามาเชื่อในพระคริสต์ เปาโลภาคภูมิใจกับเอเปเนทัสเพราะเขาคือคนแรกในแคว้นเอเชียที่ต้อนรับพระกิตติคุณที่เปาโลนำไปประกาศ
            โรม 16-6
            เปาโลกล่าวถึง “มารีย์” ว่า “ตรากตรำทำงานหนัก” เพื่อคริสเตียนในกรุงโรม แม้เปาโลไม่ได้บอกว่ามารีย์ทำอะไร แต่ก็น่าจะหมายถึงการรับใช้พระเจ้าด้วยการปรนนิบัติรับใช้พี่น้องในคริสตจักร
            โรม 16-7
            อันโดรนิคัสกับยูนีอัส อาจจะเป็นสามีภรรยากัน เปาโลเรียกพวกเขาว่า “ญาติของข้าพเจ้า” ซึ่งอาจจะหมายความว่าพวกเขาเป็นคนเผ่าเดียวกับเปาโล ไม่ใช่มาจากครอบครัวเดียวกัน
            เปาโลพูดถึงอันโดรนิคัสและยูนีอัสว่า “ถูกจองจำร่วมกับข้าพเจ้า แปลตามตัวอักษรว่า “เพื่อนร่วมคุก” นั่นเอง เขาไม่ได้บันทึกว่าการถูกจำคุกนี้เกิดขึ้นเมื่อใดและที่ไหน เปาโลชมเชยว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มี “ชื่อเสียงดี”
            นอกจากนั้นในประโยคสุดท้ายของข้อนี้ทำให้เรารู้ว่าอันโดรนิคัสและยูนีอัสได้มาเชื่อในพระเยซูก่อนเปาโล
            โรม 16-8-10
            อาริสโทบูลัสเป็นชื่อของน้องชายของเฮโรดอากริปปาที่ 1 ซึ่งสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 48-49 คำทักทายของเปาโลคงหมายถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในบ้านของอาริสโทบูลัส ซึ่งอาจจะหมายถึงทาสของเขา และที่เปาโลไม่ได้ทักอาริสโทบูลัสก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขายังไม่ใช่ผู้เชื่อ
            โรม 16-11
            เฮโรดิโอน ก็เป็นอีกคนนึงที่อยู่ในเผ่าเดียวกันกับเปาโล คนในครัวเรือนนารซิสสัสที่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น เปาโลไม่ได้เจาะจงว่าเป็นใคร เพียงแต่บอกว่าคนที่อยู่ในบ้านของ “นารซีสสัส” และในที่นี้เปาโลจำกัดคำทักทายถึงเฉพาะคน “ที่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า” เพราะไม่ใช่ทุกคนในครอบครัวนี้จะเป็นผู้เชื่อ ซึ่งอาจจะรวมถึงนารซีสสัสด้วย
            โรม 16-12
            เปาโลฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งสองและแนะนำเขาเหล่านั้นว่าเป็นหญิงที่ “ปฏิบัติงานในฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า”  ทำงานมากมาย ทำงานหนักเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บางคนเชื่อว่าทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกัน
            เปอร์ซีส เป็นผู้หญิงอีกคนนึงที่ทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างมากมาย ชื่อของเธอบ่งบอกให้รู้ว่าเธอเป็นชาวเปอร์เซีย
            โรม 16-13
            รูฟัสที่เปาโลฝากความคิดถึงมาในข้อนี้อาจจะเป็นคนๆเดียวกับที่ถูกกล่าวถึงในมาระโก 15-21 และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่าเขาเป็นบุตรชายของซีโมนชาวไซรีน (ตอนเหนือของอาฟริกา) ซึ่งเป็นผู้แบกกางเขนของพระเยซู
            เปาโลกล่าวถึงรูฟัสว่าเป็น “ผู้ที่ทรงเลือกไว้ในฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า” อันที่จริงแล้วผู้เชื่อทุกคนก็คือคนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ (อฟ 1-4) แต่ในกรณีของรูฟัสอาจจะหมายถึงความโดดเด่นและมีความเป็นพิเศษ
            เปาโลยังฝากความคิดถึงมายังมารดาของรูฟัสด้วย ท่านกล่าวว่ามารดาของรูฟัสก็เป็นมารดาของท่านด้วย เปาโลไม่ได้หมายความว่าเป็นมารดาของเปาโลจริงๆแต่หมายถึงเธอได้ดูแลเปาโลเหมือนแม่จริงๆ
            โรม 16-14
            เปาโลกล่าวถึงคน 5 คนพร้อมกัน บางทีพวกเขาอาจจะเป็นผู้นำของคริสตจักรแห่งหนึ่ง เพราะมีคำว่า “และบรรดาพี่น้องที่อยู่กับเขาเหล่านั้น” เพราะคำว่า “พี่น้อง” เป็นคำที่มักจะใช้กันในหมู่คริสเตียน ชื่อของพวกเขาทั้ง 5 คนเป็นชื่อสามัญทั่วไปในหมู่ทาส จึงสันนิษฐานว่าพวกเขาเคยเป็นทาสมาก่อน
            โรม 16-15
            ยูเลียอาจจะเป็นภรรยาของฟิโลโลกัส เนเรอัสและน้องสาวของเขาก็ได้รับการทักทายจากเปาโล นอกจากนั้นยังมีโอลิมปัสและบรรดาธรรมิกชนที่อยู่กับพวกเขา คนกลุ่มนี้อาจจะเป้นผู้นำคริสตจักรตามบ้านแห่งใดแห่งหนึ่งในกรุงโรม
            โรม 16-16
            การแสดงการทักทายไปยังแต่ละคนเป็นส่วนตัว แสดงว่าเปาโลเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ดี ท่านสรุปคำทักทายของท่านในตอนนี้ด้วยคำสั่งที่ว่า จงต้อนรับกันด้วยธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์
            การจุบอันบริสุทธิ์คือการจุบบนแก้ม แสดงถึง การให้เกียรติ การต้อนรับ การแสดงความรักความจริงใจ การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ธรรมเนียมการจุบเป็นวิธีการทักทายทั่วไปในสมัยนั้น เปาโลไม่ได้สร้างวิธีการทักทายเฉพาะคริสเตียนขึ้นมา ท่านเพียงแต่อ้างถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่กระทำกันทั่วไปในสมัยนั้น แต่ท่านเพิ่มเติมคำว่า “บริสุทธิ์” เข้าไป หมายถึงต้องกระทำอย่างเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

            คำเตือนให้ระวังผู้สอนเท็จ (17-20)
            ที่จริงเปาโลน่าจะจบจดหมายของท่านในข้อ 16 แต่เพราะว่ามีบางคนจะเข้ามาก่อกวนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันภายในคริสตจักร ดังนั้นเปาโลจึงจำเป็นต้องเพิ่มเติมคำเคือนลงไป
            คำเตือนของเปาโลในตอนนี้ก็คล้ายๆกับคำเตือนที่ท่านให้กับผู้ปกครองคริสตจักรเอเฟซัสในกิจการ 20-29-31
            โรม 16-17
            สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่เปาโลต้องเตือนพี่น้องคริสเตียนก็คือ เรื่องของผู้สอนเทียมเท็จซึ่งเป็นปัญหาในทุกยุคทุกสมัย เปาโลกำลังบอกว่าคริสเตียนในกรุงโรมควรจะหลีกเลี่ยงจากศัตรูฝ่ายวิญญาณ ซึ่งท่านบรรยายว่าเป็น “คนเหล่านั้นที่ก่อเหตุวิวาทและทำให้คนอื่นหลง
            คนพวกนี้นำภัยอันตรายมาถึงผู้เชื่อโดยการสอนหลักข้อเชื่อที่ขัดแย้งกับพระกิตติคุณ และคนที่ฟังผ้าอนเทียมเท็จเหล่านี้จะมีความเชื่อและแนวทางในการปฏิบัติที่ผิดๆ ซึ่งขัดแย้งกับหลักข้อเชื่อที่ถูกต้องที่พวกเขาได้เรียนรู้มา
            โรม 16-18
            เปาโลบอกว่าผู้สอนผิดเหล่านี้ไม่ได้ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เราไม่รู้ว่าเปาโลกำลังพูดถึงคนกลุ่มไหน แต่ที่ชัดเจนเลยคือคนพวกนี้ไม่ได้ช่วยให้ผู้คนรู้จักพระเจ้า แต่พวกเขาทำเพื่อตัวเองเท่านั้น จะมีคนอาศัยคริสตจักรเป็นเครื่องมือทำมาหากินในทุกยุคทุกสมัยแม้แต่ในสมัยคริสตจักรยุคแรก

            โรม 16-19-20
            ในตอนนี้เปาโลกำลังพูดถึงความเชื่อของชาวโรม ซึ่งได้เรื่องลือไปยังคนทั้งปวง เปาโลพูดถึงเรื่องนี้แล้วในโรม 1-8 และท่านไม่ลังเลที่จะพูดซ้ำอีกครั้งในตอนนี้ เพราะความเชื่อของคริสเตียนชาวโรมทำให้เปาโลรู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างมาก
            แต่เมื่อคิดถึงผู้สอนผิด ท่านก็อดเป้นห่วงพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นเปาโลจึงบอกว่าท่านต้องการให้พวกเขา “เชียวชาญในการดี และให้เป็นคนทึ่มในการชั่ว” ทึ่มหมายถึงซื่อบริสุทธิ์ คือไม่มีอะไรผสม ไม่ใช่ว่าแกล้งโง่  คริสเตียนควรที่จะเป็นคนที่ไร้เดียงสากับความชั่ว ไม่ดำเนินตามทางของโลก (รม.12-2) คริสเตียนต้องยืนหยัดในความบริสุทธิ์
            เปาโลจบคำเตือนของท่านโดยการกล่าวถึงพระสัญญาของพระเจ้าว่าอีกไม่นานพระเจ้าแห่งสันติสุขจะปราบซาตานให้ราบคาบ เปาโลอาจจะกำลังหมายถึงบรรดาผู้สอนผิดทั้งหลายก็ได้
            ในตอนท้ายของข้อ 20 เป็นคำอวยพร นี่เป็นครั้งที่สามในจดหมายฉบับนี้ที่เปาโลใช้คำอวยพรว่า “ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
            คำทักทายของผู้ร่วมงานของเปาโล (21-23)
            ในตอนท้ายของจดหมายเปาโลได้กล่าวว่าคนที่ทำงานร่วมกันกับท่านก็ได้ฝากความคิดถึงมายังคริสเตียนที่กรุงโรมด้วย
            โรม 16-21
            ทิโมธีคือลูกแห่งความเชื่อของเปาโล เป็นผู้ร่วมงานที่มีความใกล้ชิดกับเปาโลมากที่สุด เขาถูกระบุว่าเป้นผู้ร่วมเขียนจดหมายกับเปาโลถึง 6 ฉบับ คือ 2 โครินธ์/ 1-2 เธสะโลนิกา/ ฟีลิปปี/ โคโลสีและฟีเลโมน นอกจากนั้นยังมีจดหมายฝากถึง 2 ฉบับที่เขียนถึงทิโมธีโดยเฉพาะ
            ชื่อ ทิโมธี มีความหมายว่า ถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เขามีบิดาเป็นชาวกรีก มารดาเป็นชาวยิว ชื่อว่า ยูนีส (2 ทธ 1-5) ทิโมธีได้พบกับเปาโลครั้งแรกที่เมืองลิสตรา (กจ.6-1)
            ทิโมธีได้ร่วมงานกับเปาโลตั้งแต่การเดินทางประกาศครั้งที่สอง และร่วมการเดินทางไปประกาศกับเปาโลในการเดินทางครั้งที่สาม แม้เขาเป็นเพื่อนร่วมทางของเปาโล แต่ขณะที่เปาโลไปกรุงเยรูซาเล็มและถูกส่งไปที่กรุงโรม เขาไม่ได้อยู่ด้วยแต่เดินทางไปภายหลัง (ฟป. 1-1/ 2-19/ คส. 1-1/ ฟม. 1) ทิโมธีเคยไปรับใช้ที่คริสตจักรเอเฟซัส (1 ทธ 1-3) เพื่อแก้ปัญหาเรื่องผู้สอนเทียมเท็จ เมื่อเปาโลถูกจองจำครั้งที่สอง ท่านก็ได้เขียนจดหมายฉบับที่สองเพื่อเรียกทิโมธีเพื่อไปพบท่าน ในฮิบรู 13-23 กล่าวถึงทิโมธีว่าถูกจองจำ ซึ่งเป็นข่าวสุดท้ายที่เราได้รับทราบเกี่ยวกับชีวิตของทิโมธี
            ยาโสน อาจเป็นคนเดียวกับที่กล่าวถึงในกิจการ 17-6 และโสสิปาเทอร์ก็อาจจะเป็นคนเดียวกันในกิจการ 20-4 คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวของเปาโลแต่เป็นคนชาติเดียวกัน
            โรม 16-22-23
            เทอร์ทูลัส เป็นผู้ที่บันทึกจดหมายฉบับนี้ให้เปาโล บางทีเขาอาจจะเป็นอาลักษณ์ เทอร์ทูลัสเป็นอีกคนนึงที่เราไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับเขา แต่กระนั้นเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ส่งความระลึกถึงมายังคริสเตียนในกรุงโรม
            กายอัสในพระคัมภีร์ใหม่มีอยู่หลายคน คนหนึ่งมาจากแคว้นมาซิโดเนีย และร่วมเดินทางกับเปาโล กายอัสที่ถูกกล่าวถึงในที่นี้คือผู้ที่เปาโลให้บัพติสมาที่เมืองโครินธ์ (1 คร 1-14) เปาโลอาศัยที่บ้านของเขาระหว่างพักอยู่ที่เมืองโครินธ์ ไม่เพียงให้การรับรองเปาโลเท่านั้น กายอัสยังเป็นผู้ที่ทำนุบำรุงคริสตจักรทั้งหมดด้วย ซึ่งหมายถึงคริสตจักรตามบ้านในเมืองโครินธ์ และอาจจะหมายความว่ากายอัสใช้บ้านของเขาเองเป็นคริสตจักรด้วย
            เอรัสทัสสมุหบัญชีของเมือง เอรัสทัสคนนี้อาจจะเป็นคนเดียวกับที่ถูกกล่าวถึงในกิจการ 19-21-22 ในปี 1929 มีการค้นพบแผ่นศิลาจาลึกในเมืองโครินธ์ที่มีข้อความในภาษาลาตินว่า เอเรทัสในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาธารณะเป็นผู้สร้างทางเดินหินอ่อนด้วยเงินของตัวเอง
            ตำแหน่ง “ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาธารณะ” ของเมือง เป็นตำแหน่งด้านการปกครองและการตัดสินคดีความที่เป็นลหุโทษ เปาโลกล่าวถึงตำแหน่งของเอเรทัสว่าเป็น “หัวหน้ากิจการสาธารณะ” ตำแหน่งนี้จะรับผิดชอบทั้งการปกครอง ดูแลเรื่องรายรับรายจ่าย การค้าขายและการเงิน ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ใหญ่มาก ทำให้เห็นว่าแม้แต่คนสำคัญๆของเมืองยังกลับใจมาเป็นคริสเตียน
            ควารทัสเป็นพี่น้องฝ่ายจิตวิญญาณ เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับควารทัสเลย
            โรม 16-24-25
            ข้อ 24 เป็นคำอวยพรครั้งที่ 3 ของเปาโล สองครั้งแรกอยู่ในโรม 15-33 และ 16-20
            เปาโลเชื่อมั่นว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์จะช่วยเหลือพี่น้องคริสเตียนในกรุงโรมให้ตั้งมั่นอยู่ในข่าวประเสริฐ ซึ่งในข้อนี้เปาโลเรียกว่า “กิตติคุณซึ่งข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น” ซึ่งเป็นการประกาศเรื่องของพระคริสต์ตามการทรงเปิดเผยของพระเจ้า เปาโลบอกว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็น “ข้อความอันล้ำลึก” ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ยังไม่เปิดเผย แต่บัดนี้พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยแล้ว

            โรม 16-26
            แม้ว่าผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมได้เปิดเผยถึงข่าวประเสริฐ แต่ผู้คนก็ยังไม่เข้าใจ เป้าหมายของการเปิดเผยข้อความอันล้ำลึก คือให้ชนชาติทั้งปวงเกิดความเชื่อและเชื่อฟังพระองค์ ความปราถนาของเปาโลคือ คนทุกหนทุกแห่งได้ยินพระกิตติคุณและบังเกิดความเชื่อ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกล่าวว่า “ตามซึ่งพระเจ้าผู้ทรงดำรงถาวรได้ทรงบัญชาไว้” คำว่า “ทรงดำรงอยู่ถาวร” เป็นการบอกถึงพระลักษณะแห่งความเป็นนิรันดร์ของพระเจ้า ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ (อสย.40-28 / สดด.102-12) ผู้ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย (วว.21-6) และไม่เปลี่ยนแปลง (ฮบ.13-8)    
            โรม 16-27
            เปาโลลงท้ายจดหมายของท่านด้วยคำสรรเสริญพระเจ้าโดยกล่าวถึงพระลักษณะอีกอย่างนึงของพระองค์ คือ “ผู้ทรงสัพพัญญู” หมายถึงทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรสามารถปิดบังไว้จากพระองค์ (สดด.139)  ด้วยพระปัญญาของพระเจ้า พระองค์ทรงจัดเตรียมหนทางแห่งการกลับคืนดีกันกับพระเจ้าไว้เพื่อมนุษย์อย่างน่าอัศจรรย์ แผนการแห่งความรอดนี้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า และบัดนี้พระองค์ทรงเปิดเผยแผนการของพระองค์ทางพระเยซูคริสต์แล้ว
           

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น