โรม 16-1-16
บางคนตั้งข้อสงสัยว่าในเมื่อเปาโลไม่เคยเดินทางไปที่กรุงโรม
ดังนั้นท่านจึงไม่น่าจะรู้จักคริสเตียนที่นั่นเป็นการส่วนตัว
แต่จากการเดินทางของเปาโลไปยังเมืองใหญ่หลายแห่ง เช่น เยรูซาเล็ม อันทิโอก ซีเรีย
ฟิลิปปี เอเธนส์ โครินธ์ เอเฟซัส ทำให้เขารู้จักกับชุมชนหลายแห่งในสังคมโรมัน
ปัจจัยเหล่านี้ช่วยอธิบายว่าทำไมเปาโลจึงมีเพื่อนหลายคนในกรุงโรม
การที่ท่านรู้จักเพื่อนๆเหล่านั้นมีความเป็นไปอย่างไร
แสดงให้เห็นว่าเปาโลเป็นคนที่สนใจคนอื่นเพียงใด
ในคำแสดงความนับถือถึงคริสเตียนในกรุงโรมทำให้เราได้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับสมาชิกในคริสจักรแห่งนี้ในช่วงปี
ค.ศ. 57
เพราะเปาโลได้กล่าวถึงชื่อหลายคนที่ท่านได้พบปะในสถานที่ต่างๆระหว่างการเดินทางประกาศข่าวประเสริฐ
และคนเหล่านี้ได้อาศัยอยู่ในกรุงโรมในขณะนั้น
แนะนำตัวเฟบี (ข้อ
1-2)
โรม 16-1
“เฟบี” เป็นคนแรกที่เปาโลกล่าวถึง
ชื่อของเธอแปลว่า “แสงสว่าง” ชื่อเฟบีเป็นอีกชื่อนึงของพระอาเทมิส
จึงสันนิษฐานว่าเฟบีนั้นเป็นคริสเตียนชาวต่างชาติ
เพราะคนยิวนั้นมักจะไม่ตั้งชื่อลูกตามชื่อเทพเจ้า เปาโลบอกว่าเธอเป็น “น้องสาว”
เป็นพี่น้องในความเชื่อ นอกจากนั้นเธอยังมีฐานะเป็นมัคนายิก
ของคริสจักรเมืองเคนเครีย ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆในอ่าวซาโรนิค
ไปทางตะวันออกของเมืองโครินธ์ราว 15 กิโลเมตร
เมืองนี้เป็นเมืองที่เจริญและมีการติดต่อทางการค้ากับหลายๆเมือง
ความสำคัญของเฟบีอยู่ที่เธอคือผู้ถือจดหมายฉบับบนี้ไปยังคริสจักรในกรุงโรม
โรม 16-2
เปาโลขอให้คริสเตียนที่กรุงโรมต้อนรับและช่วยเหลือเฟบี
คริสจักรต้องการรู้ว่าคนแปลกหน้าที่มาหาพวกเขานั้นเป็นคริสเตียนแท้หรือไม่จึงต้องมีใครบางคนที่เป็นคนแนะนำและรับรอง
เพราะยุคนั้นก็ยังมีการข่มเหงอยู่ และบางคนอาจจะเข้ามาเพื่อจับพวกเขาก็ได้
เปาโลบอกว่าเพราะนางได้ช่วยสงเคราะห์คนหลายคน
ดังนั้นพวกเขาก็ควรที่จะช่วยเหลือเธอด้วย
คำทักทายของเปาโล
(3-16)
คำทักทายมากมายที่เปาโลอยากจะฝากไปถึงพี่น้องคริสเตียนในกรุงโรมเป็นคำทักทายที่ยาวที่สุดในบรรดาจดหมาย
เปาโลเอ่ยถึงชื่อคนหลายคน และสิ่งที่น่าสังเกตุก็คือ หลายคนในคริสตจักรมาจากฐานะต่างๆ
ไม่ว่าหญิงหรือชาย บางคนเป็นทาส เป็นไท บางคนเป็นเพื่อนผู้รับใช้ ยากจน รวย
มียศฐาบรรดาศักดิ์
ชื่อที่เปาโลเอ่ยถึงเป็นชื่อในภาษาลาตินหรือภาษากรีก
แม้หลายคนจะเป็นคนยิว แต่พวกเขาก็มีชื่อในภาษาอื่นเช่นเดียวกันกับเปาโล
โรม 16-3-4
เปาโลพบกับ “ปริสิลลาและอาควิลลา”
ขณะที่เขาไปถึงเมืองโครินธ์ในการเดินทางไปประกาศในเที่ยวที่สอง (กจ.18-2)
เปาโลทำงานและอาศัยอยู่กับพวกเขาเพราะมีอาชีพเดียวกันคือเป็นช่างเย็บเต้นท์
(กจ.18-3)
พวกเขาต้องอพยพออกจากกรุงโรมไปยังเมืองโครินธ์เพราะกฏหมายของคลาวดิอัสในปี ค.ศ. 49
ที่ประกาศสั่งให้คนยิวทุกคนออกจากกรุงโรม
ตามกิจการ 18-19
ปริสสิลลาและอาควิลลาได้ร่วเดินทางไปกับเปาโลเมื่อท่านเดินทางออกจากเมืองโครินธ์
เมื่อคณะเดินทางมาแวะพักที่เมืองเอเฟซัส เปาโลก็ละเขาไว้ที่นั้น
ขณะที่เปาโลเดินทางต่อไปยังเมืองเยรูซาเล็มและอันทิโอก กิจการ 18-26
บอกว่าสามีภรรยาคู่นี้คือผู้ให้คำแนะนำแก่อปอลโลในเรื่องทางของพระเจ้าที่ถูกต้องยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นพวกเขาเป็นคนที่คอยดูแลเอาใจใส่เปาโลเมื่อท่านอยู่ที่เมืองเอเฟซัส
ภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของคลาวดิอัสในปี
54 คำสั่งขับไล่ชาวยิวอาจจะยกเลิกไป และปริสสิลลากับอาควิลลาอาจจะกลับไปอยู่ที่กรุงโรมอีก
และอาจจะเดินทางไปมาระหว่างกรุงโรม โครินธ์และเอเฟซัส
พระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้บันทึกเหตุการณ์ที่สองคนนี้ช่วยชีวิตเปาโลไว้
แต่คริสจักรในเวลานั้นรับรู้กัน เปาโลชมเชยทั้งคู่และเรียกพวกเขาว่า
“ผู้ร่วมงานกับข้าพเจ้าในพระราชกิจของพระเยซูคริสต์
โรม 16-5
เปาโลทักทายคริสจักรที่ประชุมกันที่บ้านของปริสสิลลาและอาควิลลา
คริสเตียนในกรุงโรมคงนมัสการกันตามบ้านหลายหลัง
และบ้านของปริสสิลลากับอาควิลลาก็เป็นหลังหนึ่ง
ทั้งคู่มีบ้านที่เปิดให้ประชุมนมัสการที่เอเฟซัส บางทีอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
ก็เปิดให้ประชุมนมัสการที่นั่น
เอเปเนทัส
เปาโลเรียกเขาว่า “ที่รักของข้าพเจ้า” ซึ่งก็หมายความว่าเพื่อนรักนั่นเอง
เปาโลบอกว่าเอเปเนทัสเป็น “คนแรกที่เข้ามาเชื่อในพระคริสต์
เปาโลภาคภูมิใจกับเอเปเนทัสเพราะเขาคือคนแรกในแคว้นเอเชียที่ต้อนรับพระกิตติคุณที่เปาโลนำไปประกาศ
โรม 16-6
เปาโลกล่าวถึง
“มารีย์” ว่า “ตรากตรำทำงานหนัก” เพื่อคริสเตียนในกรุงโรม
แม้เปาโลไม่ได้บอกว่ามารีย์ทำอะไร
แต่ก็น่าจะหมายถึงการรับใช้พระเจ้าด้วยการปรนนิบัติรับใช้พี่น้องในคริสตจักร
โรม 16-7
อันโดรนิคัสกับยูนีอัส
อาจจะเป็นสามีภรรยากัน เปาโลเรียกพวกเขาว่า “ญาติของข้าพเจ้า”
ซึ่งอาจจะหมายความว่าพวกเขาเป็นคนเผ่าเดียวกับเปาโล ไม่ใช่มาจากครอบครัวเดียวกัน
เปาโลพูดถึงอันโดรนิคัสและยูนีอัสว่า
“ถูกจองจำร่วมกับข้าพเจ้า แปลตามตัวอักษรว่า “เพื่อนร่วมคุก” นั่นเอง เขาไม่ได้บันทึกว่าการถูกจำคุกนี้เกิดขึ้นเมื่อใดและที่ไหน
เปาโลชมเชยว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มี “ชื่อเสียงดี”
นอกจากนั้นในประโยคสุดท้ายของข้อนี้ทำให้เรารู้ว่าอันโดรนิคัสและยูนีอัสได้มาเชื่อในพระเยซูก่อนเปาโล
โรม 16-8-10
อาริสโทบูลัสเป็นชื่อของน้องชายของเฮโรดอากริปปาที่
1 ซึ่งสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 48-49
คำทักทายของเปาโลคงหมายถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในบ้านของอาริสโทบูลัส
ซึ่งอาจจะหมายถึงทาสของเขา
และที่เปาโลไม่ได้ทักอาริสโทบูลัสก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขายังไม่ใช่ผู้เชื่อ
โรม 16-11
เฮโรดิโอน ก็เป็นอีกคนนึงที่อยู่ในเผ่าเดียวกันกับเปาโล
คนในครัวเรือนนารซิสสัสที่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น
เปาโลไม่ได้เจาะจงว่าเป็นใคร เพียงแต่บอกว่าคนที่อยู่ในบ้านของ “นารซีสสัส”
และในที่นี้เปาโลจำกัดคำทักทายถึงเฉพาะคน “ที่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า”
เพราะไม่ใช่ทุกคนในครอบครัวนี้จะเป็นผู้เชื่อ ซึ่งอาจจะรวมถึงนารซีสสัสด้วย
โรม 16-12
เปาโลฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งสองและแนะนำเขาเหล่านั้นว่าเป็นหญิงที่
“ปฏิบัติงานในฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า”
ทำงานมากมาย ทำงานหนักเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
บางคนเชื่อว่าทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกัน
เปอร์ซีส
เป็นผู้หญิงอีกคนนึงที่ทำงานรับใช้พระเจ้าอย่างมากมาย
ชื่อของเธอบ่งบอกให้รู้ว่าเธอเป็นชาวเปอร์เซีย
โรม 16-13
รูฟัสที่เปาโลฝากความคิดถึงมาในข้อนี้อาจจะเป็นคนๆเดียวกับที่ถูกกล่าวถึงในมาระโก
15-21 และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แสดงว่าเขาเป็นบุตรชายของซีโมนชาวไซรีน (ตอนเหนือของอาฟริกา)
ซึ่งเป็นผู้แบกกางเขนของพระเยซู
เปาโลกล่าวถึงรูฟัสว่าเป็น
“ผู้ที่ทรงเลือกไว้ในฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า”
อันที่จริงแล้วผู้เชื่อทุกคนก็คือคนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ (อฟ 1-4)
แต่ในกรณีของรูฟัสอาจจะหมายถึงความโดดเด่นและมีความเป็นพิเศษ
เปาโลยังฝากความคิดถึงมายังมารดาของรูฟัสด้วย
ท่านกล่าวว่ามารดาของรูฟัสก็เป็นมารดาของท่านด้วย
เปาโลไม่ได้หมายความว่าเป็นมารดาของเปาโลจริงๆแต่หมายถึงเธอได้ดูแลเปาโลเหมือนแม่จริงๆ
โรม 16-14
เปาโลกล่าวถึงคน 5
คนพร้อมกัน บางทีพวกเขาอาจจะเป็นผู้นำของคริสตจักรแห่งหนึ่ง เพราะมีคำว่า
“และบรรดาพี่น้องที่อยู่กับเขาเหล่านั้น” เพราะคำว่า “พี่น้อง”
เป็นคำที่มักจะใช้กันในหมู่คริสเตียน ชื่อของพวกเขาทั้ง 5
คนเป็นชื่อสามัญทั่วไปในหมู่ทาส จึงสันนิษฐานว่าพวกเขาเคยเป็นทาสมาก่อน
โรม 16-15
ยูเลียอาจจะเป็นภรรยาของฟิโลโลกัส
เนเรอัสและน้องสาวของเขาก็ได้รับการทักทายจากเปาโล
นอกจากนั้นยังมีโอลิมปัสและบรรดาธรรมิกชนที่อยู่กับพวกเขา
คนกลุ่มนี้อาจจะเป้นผู้นำคริสตจักรตามบ้านแห่งใดแห่งหนึ่งในกรุงโรม
โรม 16-16
การแสดงการทักทายไปยังแต่ละคนเป็นส่วนตัว
แสดงว่าเปาโลเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ดี
ท่านสรุปคำทักทายของท่านในตอนนี้ด้วยคำสั่งที่ว่า
จงต้อนรับกันด้วยธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์
การจุบอันบริสุทธิ์คือการจุบบนแก้ม
แสดงถึง การให้เกียรติ การต้อนรับ การแสดงความรักความจริงใจ
การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ธรรมเนียมการจุบเป็นวิธีการทักทายทั่วไปในสมัยนั้น
เปาโลไม่ได้สร้างวิธีการทักทายเฉพาะคริสเตียนขึ้นมา
ท่านเพียงแต่อ้างถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่กระทำกันทั่วไปในสมัยนั้น
แต่ท่านเพิ่มเติมคำว่า “บริสุทธิ์” เข้าไป
หมายถึงต้องกระทำอย่างเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
คำเตือนให้ระวังผู้สอนเท็จ
(17-20)
ที่จริงเปาโลน่าจะจบจดหมายของท่านในข้อ
16 แต่เพราะว่ามีบางคนจะเข้ามาก่อกวนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันภายในคริสตจักร
ดังนั้นเปาโลจึงจำเป็นต้องเพิ่มเติมคำเคือนลงไป
คำเตือนของเปาโลในตอนนี้ก็คล้ายๆกับคำเตือนที่ท่านให้กับผู้ปกครองคริสตจักรเอเฟซัสในกิจการ
20-29-31
โรม 16-17
สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่เปาโลต้องเตือนพี่น้องคริสเตียนก็คือ
เรื่องของผู้สอนเทียมเท็จซึ่งเป็นปัญหาในทุกยุคทุกสมัย
เปาโลกำลังบอกว่าคริสเตียนในกรุงโรมควรจะหลีกเลี่ยงจากศัตรูฝ่ายวิญญาณ
ซึ่งท่านบรรยายว่าเป็น “คนเหล่านั้นที่ก่อเหตุวิวาทและทำให้คนอื่นหลง
คนพวกนี้นำภัยอันตรายมาถึงผู้เชื่อโดยการสอนหลักข้อเชื่อที่ขัดแย้งกับพระกิตติคุณ
และคนที่ฟังผ้าอนเทียมเท็จเหล่านี้จะมีความเชื่อและแนวทางในการปฏิบัติที่ผิดๆ
ซึ่งขัดแย้งกับหลักข้อเชื่อที่ถูกต้องที่พวกเขาได้เรียนรู้มา
โรม 16-18
เปาโลบอกว่าผู้สอนผิดเหล่านี้ไม่ได้ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า
แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เราไม่รู้ว่าเปาโลกำลังพูดถึงคนกลุ่มไหน
แต่ที่ชัดเจนเลยคือคนพวกนี้ไม่ได้ช่วยให้ผู้คนรู้จักพระเจ้า
แต่พวกเขาทำเพื่อตัวเองเท่านั้น จะมีคนอาศัยคริสตจักรเป็นเครื่องมือทำมาหากินในทุกยุคทุกสมัยแม้แต่ในสมัยคริสตจักรยุคแรก
โรม 16-19-20
ในตอนนี้เปาโลกำลังพูดถึงความเชื่อของชาวโรม
ซึ่งได้เรื่องลือไปยังคนทั้งปวง เปาโลพูดถึงเรื่องนี้แล้วในโรม 1-8
และท่านไม่ลังเลที่จะพูดซ้ำอีกครั้งในตอนนี้ เพราะความเชื่อของคริสเตียนชาวโรมทำให้เปาโลรู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อคิดถึงผู้สอนผิด
ท่านก็อดเป้นห่วงพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นเปาโลจึงบอกว่าท่านต้องการให้พวกเขา
“เชียวชาญในการดี และให้เป็นคนทึ่มในการชั่ว” ทึ่มหมายถึงซื่อบริสุทธิ์
คือไม่มีอะไรผสม ไม่ใช่ว่าแกล้งโง่
คริสเตียนควรที่จะเป็นคนที่ไร้เดียงสากับความชั่ว ไม่ดำเนินตามทางของโลก
(รม.12-2) คริสเตียนต้องยืนหยัดในความบริสุทธิ์
เปาโลจบคำเตือนของท่านโดยการกล่าวถึงพระสัญญาของพระเจ้าว่าอีกไม่นานพระเจ้าแห่งสันติสุขจะปราบซาตานให้ราบคาบ
เปาโลอาจจะกำลังหมายถึงบรรดาผู้สอนผิดทั้งหลายก็ได้
ในตอนท้ายของข้อ 20
เป็นคำอวยพร นี่เป็นครั้งที่สามในจดหมายฉบับนี้ที่เปาโลใช้คำอวยพรว่า
“ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
คำทักทายของผู้ร่วมงานของเปาโล
(21-23)
ในตอนท้ายของจดหมายเปาโลได้กล่าวว่าคนที่ทำงานร่วมกันกับท่านก็ได้ฝากความคิดถึงมายังคริสเตียนที่กรุงโรมด้วย
โรม 16-21
ทิโมธีคือลูกแห่งความเชื่อของเปาโล
เป็นผู้ร่วมงานที่มีความใกล้ชิดกับเปาโลมากที่สุด
เขาถูกระบุว่าเป้นผู้ร่วมเขียนจดหมายกับเปาโลถึง 6 ฉบับ คือ 2 โครินธ์/ 1-2
เธสะโลนิกา/ ฟีลิปปี/ โคโลสีและฟีเลโมน นอกจากนั้นยังมีจดหมายฝากถึง 2
ฉบับที่เขียนถึงทิโมธีโดยเฉพาะ
ชื่อ ทิโมธี
มีความหมายว่า ถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เขามีบิดาเป็นชาวกรีก
มารดาเป็นชาวยิว ชื่อว่า ยูนีส (2 ทธ 1-5)
ทิโมธีได้พบกับเปาโลครั้งแรกที่เมืองลิสตรา (กจ.6-1)
ทิโมธีได้ร่วมงานกับเปาโลตั้งแต่การเดินทางประกาศครั้งที่สอง
และร่วมการเดินทางไปประกาศกับเปาโลในการเดินทางครั้งที่สาม
แม้เขาเป็นเพื่อนร่วมทางของเปาโล
แต่ขณะที่เปาโลไปกรุงเยรูซาเล็มและถูกส่งไปที่กรุงโรม
เขาไม่ได้อยู่ด้วยแต่เดินทางไปภายหลัง (ฟป. 1-1/ 2-19/ คส. 1-1/ ฟม. 1) ทิโมธีเคยไปรับใช้ที่คริสตจักรเอเฟซัส
(1 ทธ 1-3) เพื่อแก้ปัญหาเรื่องผู้สอนเทียมเท็จ เมื่อเปาโลถูกจองจำครั้งที่สอง
ท่านก็ได้เขียนจดหมายฉบับที่สองเพื่อเรียกทิโมธีเพื่อไปพบท่าน ในฮิบรู 13-23
กล่าวถึงทิโมธีว่าถูกจองจำ ซึ่งเป็นข่าวสุดท้ายที่เราได้รับทราบเกี่ยวกับชีวิตของทิโมธี
ยาโสน
อาจเป็นคนเดียวกับที่กล่าวถึงในกิจการ 17-6
และโสสิปาเทอร์ก็อาจจะเป็นคนเดียวกันในกิจการ 20-4
คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวของเปาโลแต่เป็นคนชาติเดียวกัน
โรม 16-22-23
เทอร์ทูลัส
เป็นผู้ที่บันทึกจดหมายฉบับนี้ให้เปาโล บางทีเขาอาจจะเป็นอาลักษณ์
เทอร์ทูลัสเป็นอีกคนนึงที่เราไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับเขา
แต่กระนั้นเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ส่งความระลึกถึงมายังคริสเตียนในกรุงโรม
กายอัสในพระคัมภีร์ใหม่มีอยู่หลายคน
คนหนึ่งมาจากแคว้นมาซิโดเนีย และร่วมเดินทางกับเปาโล
กายอัสที่ถูกกล่าวถึงในที่นี้คือผู้ที่เปาโลให้บัพติสมาที่เมืองโครินธ์ (1 คร
1-14) เปาโลอาศัยที่บ้านของเขาระหว่างพักอยู่ที่เมืองโครินธ์
ไม่เพียงให้การรับรองเปาโลเท่านั้น
กายอัสยังเป็นผู้ที่ทำนุบำรุงคริสตจักรทั้งหมดด้วย
ซึ่งหมายถึงคริสตจักรตามบ้านในเมืองโครินธ์ และอาจจะหมายความว่ากายอัสใช้บ้านของเขาเองเป็นคริสตจักรด้วย
เอรัสทัสสมุหบัญชีของเมือง
เอรัสทัสคนนี้อาจจะเป็นคนเดียวกับที่ถูกกล่าวถึงในกิจการ 19-21-22 ในปี 1929
มีการค้นพบแผ่นศิลาจาลึกในเมืองโครินธ์ที่มีข้อความในภาษาลาตินว่า
เอเรทัสในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาธารณะเป็นผู้สร้างทางเดินหินอ่อนด้วยเงินของตัวเอง
ตำแหน่ง
“ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาธารณะ” ของเมือง
เป็นตำแหน่งด้านการปกครองและการตัดสินคดีความที่เป็นลหุโทษ
เปาโลกล่าวถึงตำแหน่งของเอเรทัสว่าเป็น “หัวหน้ากิจการสาธารณะ”
ตำแหน่งนี้จะรับผิดชอบทั้งการปกครอง ดูแลเรื่องรายรับรายจ่าย การค้าขายและการเงิน
ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ใหญ่มาก
ทำให้เห็นว่าแม้แต่คนสำคัญๆของเมืองยังกลับใจมาเป็นคริสเตียน
ควารทัสเป็นพี่น้องฝ่ายจิตวิญญาณ
เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับควารทัสเลย
โรม 16-24-25
ข้อ 24
เป็นคำอวยพรครั้งที่ 3 ของเปาโล สองครั้งแรกอยู่ในโรม 15-33 และ 16-20
เปาโลเชื่อมั่นว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์จะช่วยเหลือพี่น้องคริสเตียนในกรุงโรมให้ตั้งมั่นอยู่ในข่าวประเสริฐ
ซึ่งในข้อนี้เปาโลเรียกว่า “กิตติคุณซึ่งข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น”
ซึ่งเป็นการประกาศเรื่องของพระคริสต์ตามการทรงเปิดเผยของพระเจ้า เปาโลบอกว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็น
“ข้อความอันล้ำลึก” ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ยังไม่เปิดเผย
แต่บัดนี้พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยแล้ว
โรม 16-26
แม้ว่าผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมได้เปิดเผยถึงข่าวประเสริฐ
แต่ผู้คนก็ยังไม่เข้าใจ เป้าหมายของการเปิดเผยข้อความอันล้ำลึก คือให้ชนชาติทั้งปวงเกิดความเชื่อและเชื่อฟังพระองค์
ความปราถนาของเปาโลคือ คนทุกหนทุกแห่งได้ยินพระกิตติคุณและบังเกิดความเชื่อ
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกล่าวว่า “ตามซึ่งพระเจ้าผู้ทรงดำรงถาวรได้ทรงบัญชาไว้” คำว่า
“ทรงดำรงอยู่ถาวร” เป็นการบอกถึงพระลักษณะแห่งความเป็นนิรันดร์ของพระเจ้า
ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ (อสย.40-28 / สดด.102-12)
ผู้ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย (วว.21-6) และไม่เปลี่ยนแปลง (ฮบ.13-8)
โรม 16-27
เปาโลลงท้ายจดหมายของท่านด้วยคำสรรเสริญพระเจ้าโดยกล่าวถึงพระลักษณะอีกอย่างนึงของพระองค์
คือ “ผู้ทรงสัพพัญญู” หมายถึงทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่มีอะไรสามารถปิดบังไว้จากพระองค์ (สดด.139)
ด้วยพระปัญญาของพระเจ้า
พระองค์ทรงจัดเตรียมหนทางแห่งการกลับคืนดีกันกับพระเจ้าไว้เพื่อมนุษย์อย่างน่าอัศจรรย์
แผนการแห่งความรอดนี้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า และบัดนี้พระองค์ทรงเปิดเผยแผนการของพระองค์ทางพระเยซูคริสต์แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น