วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Romans 12

1.ในบทที่ 12-16 จะเป็นเนื้อหาที่เป็นภาคปฏิบัติ เปาโลต้องการให้ผู้อ่านนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
            การชี้แนะสำหรับคริสตจักร โรม 12-1-21
            คำนำ ข้อ 1-2
            โรม 12 – 1
            2.เปาโลนั้นกำลังเชื่อมต่อหลักคำสอนใน 11 บทแรกให้เข้ากับส่วนที่เหลือของจดหมายซึ่งเน้นเรื่องการนำหลักคำสอนไปปฏิบัติ
            3.เปาโลได้ขอให้คริสเตียนที่กรุงโรมทำอะไร Rome 12:1 บางอย่าง สิ่งแรกก็คือ “ถวายตัวของท่าน” เครื่องบูชาที่มีชีวิตคืออะไร การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขนทำให้พิธีการถวายเครื่องบูชาแบบเดิมนั้นสิ้นสุดลง ใช่มั้ยครับก่อนการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซู ชาวยิวจะเลือกลูกแกะ นกหรือแพะตัวเมียที่ปราศจากตำหนิ หรือแป้งสำหรับถวายบูชา มาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยจะมอบให้ปุโรหิตนำไปเผาบนแท่นบูชา ทำให้ผู้ที่มานมัสการพระเจ้าได้รับการอภัยโทษ (ลนต 4-32-35 / 5-7-10 / 11-13)


เปาโลกล่าวว่าเราไม่ต้องฆ่าสัตว์เพื่อถวายบูชา แต่ให้เราถวายตัวของเราเองเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตต่อพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เปาโลยังพูดถึงการนมัสการด้วยจิตวิญญาณอีกด้วย และการนมัสการด้วยจิตวิญญาณนั้นคือการนมัสการที่แท้จริง

โรม 12 – 2
ความหมายในข้อนี้ก็ยังเป็นเรื่องของการถวายชีวิตของผู้เชื่อแด่พระเจ้า ซึ่งก็หมายรวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตทั้งหมด สิ่งแรกก็คือ “อย่าประพฤติตามอย่าง” คือการไม่ทำตามแรงกดดันทางด้านประเพณี ความคิดและค่านิยมของโลกนี้ ผมว่าผู้คนหรือสถานการณ์ในยุคสมัยนั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อคริสเตียนเรา
เคล็ดลับของการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ที่การ “เปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่” เปาโลกำลังพูดถึงการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้าไปอยู่ในชีวิตและทำการเปลี่ยนแปลงคนๆนั้นให้มีลักษณะชีวิตแบบพระเยซู
4.เมื่อจิตใจเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ด้วยการป้อนข้อมูลฝ่ายวิญญาณ คือพระคำของพระเจ้า การอธิษฐาน การสามัคคีธรรมร่วมกับพี่น้องคริสเตียน วิถีชีวิตของเราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไปในทางที่ดี
            เปาโลกำลังบอกว่า น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่ชอบพระทัยและเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม

บทบาทของอวัยวะ โรม 3-8
            โรม 12 - 3
เปาโลกำลังพูดถึงบทบาทและสิทธิอำนาจของท่านในฐานะที่เป็นอัครทูต ในโรม 1-1 เปาโลก็ได้ชี้แจงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าท่านเป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเรียกให้มาเป็นอัครทูต และได้ทรงตั้งไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า
            เปาโลยังสอนอีกว่าคริสเตียนนั้นไม่ควรตีค่าตัวเองสูงเกินไปแล้วมองเห็นผู้อื่นต่ำกว่าตัว คริสเตียนจะต้องไม่หยิ่งผยองในของประทานที่พระเจ้าประทานให้ แต่ต้องรับของประทานด้วยความถ่อมใจและใช้ของประทานนั้นด้วยความมั่นใจแก่ผู้อื่นอย่างถูกต้อง พระเจ้าทรงประทานความเชื่อให้กับผู้เชื่อแต่ละคนเพื่อให้รับใช้พระองค์
            โรม 12 – 4 – 5
            5.เปาโลเปรียบเทียบร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของผู้เชื่อกับชุมชนของผู้เชื่ออันเป็นร่างกายฝ่ายวิญญาณ มีความจริง 3 ประการเกี่ยวกับร่างกายฝ่ายจิตวิญญาณ ได้แก่ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความหลากหลายและความสัมพันธ์
            เกี่ยวกับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เปาโลกล่าวว่าแม้มีคริสเตียนเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาก็เป็น “กายอันเดียวกันในพระคริสต์” เกี่ยวกับความหลากหลายเปาโลบอกว่า “ทุกคนมิได้มีหน้าที่เหมือนกัน” และเกี่ยวกับความสัมพันธ์ เปาโลบอกว่าแต่ละคนเป็น “อวัยวะแก่กันและกัน” ความสัมพันธ์กันนี้เองทำให้เราต้องการซึ่งกันและกัน เพราะแต่ละคนจะทำงานโดยไม่เกี่ยวข้องกันไม่ได้ และยิ่งกว่านั้น สมาชิกแต่ละคนจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่สมาชิกคนอื่นที่กระทำเพื่อส่วนรวมด้วย ที่จริงแล้วทุกส่วนจะต้องทำงานร่วมกันอย่างประสานกลมเกลียว เพื่อจะได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
            โรม 12 – 6
            “ของประทาน” นั้นคือความสามารถที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่ผู้เชื่อเพื่อใช้ในการปรนนิบัติรับใช้ฝ่ายวิญญาณ ผู้เชื่อจะได้รับของประทานเมื่อเขากลับใจใหม่ ของประทานไม่ได้ขัดแย้งกับความสามารถตามธรรมชาติที่พระเจ้าทรงประทานให้
            ความหลากหลายและความแตกต่างกันนี้เป็นเรื่องจำเป็น เพราะว่าในกลุ่มผู้เชื่อมีความต้องการที่แตกต่างกัน และความหลากหลายของๆประทานก็เพื่อแต่ละคนจะมีส่วนในพันธกิจได้
            การเผยพระวจนะ หมายถึงการเปิดเผยพระคำของพระเจ้าโดยผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง
            พระคัมภีร์เรียกผู้เผยพระวจนะต่างๆกัน เช่น
            คนของพระเจ้า / ผู้รับใช้ของพระเจ้า / ผู้ทำนาย / ผู้พยากรณ์
            หน้าที่ของผู้เผยพระวจนะคือ ประกาศ สำแดงและเปิดเผย ถ้อยคำของพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์ต่อประชากรของพระองค์
            การเผยพระวจนะต้องเป็นไปตามกำลังของความเชื่อ คือ ไมใช่ว่าเผยพระวจนะตามอารมณ์และความรู้สึกของตนเอง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการทรงนำและทรงควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์
           
โรม 12 – 7 – 8
            การปรนนิบัติในที่นี้หมายถึงงานบริการต่างๆที่ทำในนามของพระคริสต์
            การสั่งสอน คือการสอนเรื่องข่าวประเสริฐ และแนวทางด้านจริยธรรมจากพระคัมภีร์ คนที่ได้รับของประทานชนิดนี้จะสามารถสอนหลักความเชื่อของคริสเตียนแก่ผู้อื่นได้
            การเตือนสติ คือการหนุนใจกัน ปลอบโยนกัน ตักเตือนกัน การเตือนสติเรียกร้องให้มีการตัดสินใจโดยอาศัยพื้นฐานจากสิ่งที่ได้สอนไป เป็นการหนุนใจและตักเตือนผู้เรียนรู้พระวจนะ ให้นำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน คนที่ได้รับของประทานนี้จะสามารถอธิบายและสอนได้ดี หนุนใจทำให้ผู้ฟังสบายใจ
            การบริจาค เป็นการแบ่งปันกับผู้ที่มีความจำเป็น คริสตจักรในยุคแรกได้ปฏิบัติตามของประทานนี้โดยการให้ความช่วยเหลือแก่ส่วนรวม นอกจากนั้นคริสตจักรยังได้ช่วยเหลือสมาชิกที่ยากจน บรานาบัสเป็นตัวอย่างของคนที่ได้รับของประทานชนิดนี้ (กจ 4-36-37) การบริจาคนั้นจะต้องทำ “ด้วยใจกว้างขวาง” คือโดยไม่หวงหรือฝืนใจ
            ผู้ที่ครอบครอง หมายถึง การจัดการ การนำ การบริหาร ของประทานนี้คือการเป็นผู้นำในคริสตจักร เปาดลบอกว่าของประทานชนิดนี้ต้องใช้โดย “เอาใจใส่” คือทำด้วยความกระตือรือร้น ขยันขันแข็งและจริงใจ (1 คร 12-4-11)
            การแสดงความเมตตาด้วยใจยินดี เป็นความสามารถที่จะแสดงความเมตตาปรานีโดยไม่มีความรู้สึกว่าตนเหนือกว่า ในคริสตจักรยุคแรกคนที่ได้รับของประทานชนิดนี้จะแสดงออกโดยการช่วยเหลือคนที่ประสบกับความยากลำบาก คนที่อ่อนแอ คนที่เจ็บป่วย คนพิการ เปาโลบอกว่าการใช้ของประทานชนิดนี้ต้องใช้ “ด้วยใจยินดี” คือเต็มใจและเข้าใจ ไม่ใช่ทำเพราะเป็นหน้าที่หรือเพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้
            การกระทำด้วยความรัก (ข้อ 9 – 13)
โรม 12 – 9
ในภาษากรีกมีคำว่า “รัก” อยู่หลายคำที่มีความหมายแตกต่างกันไปบ้าง ในข้อนี้เปาโลใช้  6.คำว่า “อกาเป้” หมายถึงคุณลักษณะความรักแบบพระเจ้า เป็นความรักที่พระเจ้าประทานให้แก่ผู้เชื่อโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้เชื่อเองก็ต้องแสดงความรักแบบนี้ต่อคนอื่นโดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์
คำว่า “จริงใจ” หมายถึงปราศจากการหลองลวง เราไม่ควรเสแสร้งทำเป็นรักผู้อื่น
“จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี” นักศาสนศาตร์หลายคนมองว่าประโยคทั้งสองนี้นั้นอธิบายความจริงใจของความรัก และแปลข้อนี้ว่า ขอให้มีความรักที่ไม่มีอะไรอแบแฝง เกลียดชังความชั่วและส่งเสริมความดีงาม การหันหลังให้กับความชั่วจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการยึดมั่นในสิ่งที่ดี
โรม 12 – 10
7.ในข้อนี้มีคำสั่งอยู่ 2 ประการ คำสั่งข้อแรกคือ “จงรักกันฉันท์พี่น้อง” ความรักแบบนี้เป็นความรักในแบบครอบครัวและควรจะเป็นลักษณะความรักระหว่างสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าด้วย
คำสั่งที่สองคือ “จงให้เกียรติแก่กันและกัน” ในเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกันนั้น เปาโลบอกกับผู้เชื่อว่าต้องให้คนอื่นมาก่อนตนเองเสมอ


โรม 12 – 11
จงขยันทำงานอย่าขี้เกียจครับพี่น้อง อย่าขาดความกระตือรือร้น เนื่องจากบทนี้เปาโลกำลังพูดเกี่ยวกับการใช้ของประทานเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่กันและกันทั่วทั้งคริสตจักร เราจึงสามารถนำมาใช้กับการปรนนิบัติรับใช้ของคริสตชนได้
การมีชีวิตที่เต็มด้วยพระวิญญาณย่อมมีความชื่นชมยินดีและไม่เบื่อหน่ายในการดำเนินชีวิต
ผู้เชื่อจะต้องทำหน้าที่ของตนเองเพื่อปรนนิบัติรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าและการรับใช้นั้นก็แสดงถึงความเชื่อฟัง
โรม 12 – 12
“จงชื่นชมยินดีในความหวัง” เปาโลได้พูดถึงความหวังแบบนี้ในโรม ๕-๒ , ๘-๑๘-๑๙ เรามีความหวังเพราะเรารู้ว่าวันนึงเราจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์ เป็นความหวังที่เกิดขึ้นจากความรู้ว่าวันนึงเราจะรอดพ้นจากบาปโดยสิ้นเชิง และไม่ต้องพบกับความชั่วร้ายและความโศรกเศร้าอีก เป็นความเชื่อมั่นวางใจในทุกสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้
“จงอดทนต่อความยากลำบาก”เราต้องมีความมั่นคงและอดทนนาน ต่อความยากลำบาก ความยุ่งยาก ปัญหา ความกดดันต่างๆ ไม่วจะทางฝ่ายจิตวิญญาณรึว่าเนื้อหนัง จงอดทนเพื่อพระเจ้า
“จงขมักเขม้นอธิษฐาน” ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ขมักเขม้น” แสดงว่าการอธิษฐานนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างขยันขันแข็ง เป็นการกระทำที่ต้องทำต่อเนื่องอย่างเอาใจใส่ ทำบ่อยๆ
จงสัตย์ซื่อในการอธิษฐานครับพี่น้อง อย่างที่ผมพูดใน CG ว่าอยากให้พี่น้องนั้นอธิษฐานไม่ว่าจะมีความสุขหรือความทุกข์ การอธิษฐานเป็นสิ่งนึงที่จะทำให้เราติดสนิทกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้นอีกด้วย
โรม ๑๒ – ๑๓
“จงเห็นอกเห็นใจช่วยธรรมิกชนเมื่อเขาขัดสน” จงแบ่งปันความต้องการให้ธรรมิกชน และนี่เป็นลักษณะของคริสตจักรเยรูซาเล็ม (กจ.๒-๔๔-๔๕ , ๔-๓๒ , ๓๔-๓๗) ความเห็นอกเห็นใจเป็นแรงจูงใจให้คริสตจักรในอันทิโอกช่วยเหลือคริสตจักรในเยรูซาเล็ม (๑ โค ๑๖-๑-๔, ๒ โค ๘-๙, รม ๑๕-๒๕-๒๗)
จงมีน้ำใจอัธยาศัยไมตรี จงแสดงความเป็นมิตรต่อคนแปลกหน้า (ฮิบรู ๑๓-๒) เปาโลได้ขอให้คริสเตียนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้เชื่อที่เดินทางไปมา เพราะถ้าปราศจากท่าทีนี้ การเผยแพร่ข่าวประเสริฐในยุคแรกคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ไม่ใช่เฉพาะในสมัยแรกเท่านั้นแต่รวมถึงสมัยนี้ด้วย
รักศัตรู (๑๔ – ๒๑)
ในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เปาโลได้พูดถึงวิธีที่จะแสดงความรักต่อคนที่อยู่นอกสตจักร แม้ว่าข้อข้อพระคัมภีร์นี้จะอ้างถึงสัมพันธภาพของคริสเตียนต่อเพื่อนบ้านและมิตรสหายของเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเปาโลไม่ได้หมายความถึงคริสเตียนด้วย และพระคัมภีร์ตอนนี้ยังแสดงให้เห็นว่าคนของพระเจ้าสามารถอดทนปัญหาที่เกิดมาจากคนที่ไม่เป็นคริสเตียนได้



โรม ๑๒ – ๑๔
เปาโลบอกคริสเตียนที่กรุงโรมว่าพวกเขาจะต้องอวยพรไม่แช่งด่าคนที่เขี่ยวเข็ญพวกเขา ในสมัยนั้นการกดขี่ข่มเหงมีหลายวิธี นับแต่คำพด กล่าวร้าย ตัดออกจากสังคม และอาจจะรุนแรงถึงตาย ยกตัวอย่างของสเทเฟน และพระเยซูตัวอย่างของทั้งสองคนเป็นคำสอนว่าเราจะตอบสนองต่อการข่มเหงอย่างไรคำตอบก็คือด้วยการอธิษฐานขอให้พระเจ้าให้อภัยผู้ที่ข่มเหงตน (มธ ๕-๔๔, ลก ๖-๒๗-๒๘ (สเทเฟน. กจ.๗-๖๐)
โรม ๑๒ – ๑๕ – ๑๖
เปาโลขอให้ผู้อ่านของท่านร่วมแบ่งปันความชื่นชมยินดีและความโศกเศร้ากับคนที่อยู่รอบข้างเขา สิ่งที่เป็นเรื่องน่าสังเกตก็คือ การร่วมแบ่งปันความโศกเศร้ามักจะง่ายกว่าการร่วมแบ่งปันความชื่นชมยินดี
“จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” การสามัคคีกลมเกลียวกับคริสเตียนคนอื่นเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เราสามารถมีความรู้สึกร่วมกับพวกเขาได้
8.เปาโลอธิบายในข้อนี้ว่าเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ คริสเตียนจ้ะองมี ๓ อย่างได้แก่
๑.อย่าใฝ่สูง – อย่าคิดมองตัวเองสูงเกินไป
๒.จงถ่อมใจลงยอมทำการต่ำ – จงคบคนต่ำต้อย
๓.อย่าถือว่าตัวฉลาด – อย่ามองว่าตัวเองฉลาด

โรม ๑๒ – ๑๗
คำเตือนในข้อ ๑๗-๒๑ เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อและผู้ที่ยังไม่เชื่อ หลักการณ์ในพระคัมภีร์เดิมคือ “ตาแทนตา” (อพย ๒๑-๒๔-๒๕) (พูดถึงข่าวตาบอด) พระเยซูได้ทำให้ธรรมบัญญัติและคำพยากรณ์ชัดเจนขึ้น ในพระธรรมมัทธิว ๕-๓๘-๓๙ สอนไว้ว่า
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ตาแทนตาและฟันแทนฟัน ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย”
โรม ๑๒ – ๑๘
ถ้ามีการแตกแยกหรือขัดแย้งในสังคม ก็ขออย่าให้คริสเตียนเป็นคนเริ่มต้นปัญหา คริสเตียนควรอยู่อย่างสงบสุขและกลมเกลียว เปาโลสรุปโดยบอกว่า “เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน” หมายความว่า ความสามัคคีกลมเกลียวกับคนอื่นนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราเอง และแม้ว่าอาจจะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ผู้เชื่อไม่ควรจะเป็นผู้ก่อความไม่สงบ
โรม ๑๒ – ๑๙ – ๒๐
“การแก้แค้นเป็นของเรา เองจะตอบสนอง” (ฉธบ ๓๒-๓๕, ฮบ ๑๐-๓๐-๓๑) ดาวิดมีโอกาสถึงสองครั้งที่จะฆ่าซาอูลแต่ดาวิดก็ไม่ยอมทำทั้งๆที่ดูเหมือนว่าพระเจ้าก็ทรงมอบซาอูลไว้ในมือของดาวิด
เปาโลบอกว่าแทนที่จะทำการแก้แค้น คริสเตียนควรจะจัดทำอาหารและเครื่องดื่มให้ศัตรูและด้วยการกระทำเช่นนี้เปาโลบอกว่า “เป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศรีษะของเขา” การแสดงความกรุณาต่อศัตรู จะทำให้เขารู้สึกละอายใจ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การกลับใจใหม่ ข้อความนี้เป็นข้อความที่คัดมาจาก (สุภาษิต ๒๕-๒๑-๒๒) 9.การวางถ่านที่ลุกโพลงบนศรีษะอาจจะหมายถึงพิธีกรรมในอียิปต์ที่แสดงถึงการกลับใจอย่างแท้จริง
โรม ๑๒ – ๒๑
ข้อนี้เป็นบทสรุปของเปาโลในเรื่องนี้ ซึ่งมีทั้งด้านบวกและด้านลบ แม้คริสเตียนจะเป็นคนแห่งแผ่นดินสวรรค์ แต่คริสเตียนก็ยังคงอาศัยอยู่ในโลกที่ชั่วร้าย ดังนั้นคริสเตียนจะต้องต่อสู้ เพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของลักษณะนิสัยแบบโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น