1.ในบทที่
12-16 จะเป็นเนื้อหาที่เป็นภาคปฏิบัติ
เปาโลต้องการให้ผู้อ่านนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
การชี้แนะสำหรับคริสตจักร
โรม 12-1-21
คำนำ ข้อ 1-2
โรม 12 – 1
2.เปาโลนั้นกำลังเชื่อมต่อหลักคำสอนใน
11 บทแรกให้เข้ากับส่วนที่เหลือของจดหมายซึ่งเน้นเรื่องการนำหลักคำสอนไปปฏิบัติ
3.เปาโลได้ขอให้คริสเตียนที่กรุงโรมทำอะไร
Rome 12:1 บางอย่าง สิ่งแรกก็คือ “ถวายตัวของท่าน” เครื่องบูชาที่มีชีวิตคืออะไร
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขนทำให้พิธีการถวายเครื่องบูชาแบบเดิมนั้นสิ้นสุดลง
ใช่มั้ยครับก่อนการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซู ชาวยิวจะเลือกลูกแกะ
นกหรือแพะตัวเมียที่ปราศจากตำหนิ หรือแป้งสำหรับถวายบูชา
มาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยจะมอบให้ปุโรหิตนำไปเผาบนแท่นบูชา
ทำให้ผู้ที่มานมัสการพระเจ้าได้รับการอภัยโทษ (ลนต 4-32-35 / 5-7-10 / 11-13)
เปาโลกล่าวว่าเราไม่ต้องฆ่าสัตว์เพื่อถวายบูชา
แต่ให้เราถวายตัวของเราเองเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตต่อพระเจ้า
ด้วยการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
เปาโลยังพูดถึงการนมัสการด้วยจิตวิญญาณอีกด้วย และการนมัสการด้วยจิตวิญญาณนั้นคือการนมัสการที่แท้จริง
โรม 12 – 2
ความหมายในข้อนี้ก็ยังเป็นเรื่องของการถวายชีวิตของผู้เชื่อแด่พระเจ้า
ซึ่งก็หมายรวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตทั้งหมด สิ่งแรกก็คือ “อย่าประพฤติตามอย่าง”
คือการไม่ทำตามแรงกดดันทางด้านประเพณี ความคิดและค่านิยมของโลกนี้
ผมว่าผู้คนหรือสถานการณ์ในยุคสมัยนั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อคริสเตียนเรา
เคล็ดลับของการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ที่การ
“เปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่” เปาโลกำลังพูดถึงการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้าไปอยู่ในชีวิตและทำการเปลี่ยนแปลงคนๆนั้นให้มีลักษณะชีวิตแบบพระเยซู
4.เมื่อจิตใจเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ด้วยการป้อนข้อมูลฝ่ายวิญญาณ
คือพระคำของพระเจ้า การอธิษฐาน การสามัคคีธรรมร่วมกับพี่น้องคริสเตียน วิถีชีวิตของเราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไปในทางที่ดี
เปาโลกำลังบอกว่า
น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่ชอบพระทัยและเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม
บทบาทของอวัยวะ โรม 3-8
โรม 12 - 3
เปาโลกำลังพูดถึงบทบาทและสิทธิอำนาจของท่านในฐานะที่เป็นอัครทูต
ในโรม 1-1 เปาโลก็ได้ชี้แจงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าท่านเป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์
ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเรียกให้มาเป็นอัครทูต
และได้ทรงตั้งไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า
เปาโลยังสอนอีกว่าคริสเตียนนั้นไม่ควรตีค่าตัวเองสูงเกินไปแล้วมองเห็นผู้อื่นต่ำกว่าตัว
คริสเตียนจะต้องไม่หยิ่งผยองในของประทานที่พระเจ้าประทานให้
แต่ต้องรับของประทานด้วยความถ่อมใจและใช้ของประทานนั้นด้วยความมั่นใจแก่ผู้อื่นอย่างถูกต้อง
พระเจ้าทรงประทานความเชื่อให้กับผู้เชื่อแต่ละคนเพื่อให้รับใช้พระองค์
โรม 12 – 4 – 5
5.เปาโลเปรียบเทียบร่างกายฝ่ายเนื้อหนังของผู้เชื่อกับชุมชนของผู้เชื่ออันเป็นร่างกายฝ่ายวิญญาณ
มีความจริง 3 ประการเกี่ยวกับร่างกายฝ่ายจิตวิญญาณ ได้แก่
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความหลากหลายและความสัมพันธ์
เกี่ยวกับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เปาโลกล่าวว่าแม้มีคริสเตียนเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาก็เป็น
“กายอันเดียวกันในพระคริสต์” เกี่ยวกับความหลากหลายเปาโลบอกว่า
“ทุกคนมิได้มีหน้าที่เหมือนกัน” และเกี่ยวกับความสัมพันธ์ เปาโลบอกว่าแต่ละคนเป็น
“อวัยวะแก่กันและกัน” ความสัมพันธ์กันนี้เองทำให้เราต้องการซึ่งกันและกัน เพราะแต่ละคนจะทำงานโดยไม่เกี่ยวข้องกันไม่ได้
และยิ่งกว่านั้น
สมาชิกแต่ละคนจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่สมาชิกคนอื่นที่กระทำเพื่อส่วนรวมด้วย
ที่จริงแล้วทุกส่วนจะต้องทำงานร่วมกันอย่างประสานกลมเกลียว
เพื่อจะได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
โรม 12 – 6
“ของประทาน” นั้นคือความสามารถที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่ผู้เชื่อเพื่อใช้ในการปรนนิบัติรับใช้ฝ่ายวิญญาณ
ผู้เชื่อจะได้รับของประทานเมื่อเขากลับใจใหม่
ของประทานไม่ได้ขัดแย้งกับความสามารถตามธรรมชาติที่พระเจ้าทรงประทานให้
ความหลากหลายและความแตกต่างกันนี้เป็นเรื่องจำเป็น
เพราะว่าในกลุ่มผู้เชื่อมีความต้องการที่แตกต่างกัน และความหลากหลายของๆประทานก็เพื่อแต่ละคนจะมีส่วนในพันธกิจได้
การเผยพระวจนะ
หมายถึงการเปิดเผยพระคำของพระเจ้าโดยผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง
พระคัมภีร์เรียกผู้เผยพระวจนะต่างๆกัน
เช่น
คนของพระเจ้า /
ผู้รับใช้ของพระเจ้า / ผู้ทำนาย / ผู้พยากรณ์
หน้าที่ของผู้เผยพระวจนะคือ
ประกาศ สำแดงและเปิดเผย
ถ้อยคำของพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์ต่อประชากรของพระองค์
การเผยพระวจนะต้องเป็นไปตามกำลังของความเชื่อ
คือ ไมใช่ว่าเผยพระวจนะตามอารมณ์และความรู้สึกของตนเอง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการทรงนำและทรงควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์
โรม 12 – 7 – 8
การปรนนิบัติในที่นี้หมายถึงงานบริการต่างๆที่ทำในนามของพระคริสต์
การสั่งสอน
คือการสอนเรื่องข่าวประเสริฐ และแนวทางด้านจริยธรรมจากพระคัมภีร์ คนที่ได้รับของประทานชนิดนี้จะสามารถสอนหลักความเชื่อของคริสเตียนแก่ผู้อื่นได้
การเตือนสติ
คือการหนุนใจกัน ปลอบโยนกัน ตักเตือนกัน
การเตือนสติเรียกร้องให้มีการตัดสินใจโดยอาศัยพื้นฐานจากสิ่งที่ได้สอนไป
เป็นการหนุนใจและตักเตือนผู้เรียนรู้พระวจนะ ให้นำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน
คนที่ได้รับของประทานนี้จะสามารถอธิบายและสอนได้ดี หนุนใจทำให้ผู้ฟังสบายใจ
การบริจาค
เป็นการแบ่งปันกับผู้ที่มีความจำเป็น
คริสตจักรในยุคแรกได้ปฏิบัติตามของประทานนี้โดยการให้ความช่วยเหลือแก่ส่วนรวม
นอกจากนั้นคริสตจักรยังได้ช่วยเหลือสมาชิกที่ยากจน
บรานาบัสเป็นตัวอย่างของคนที่ได้รับของประทานชนิดนี้ (กจ 4-36-37)
การบริจาคนั้นจะต้องทำ “ด้วยใจกว้างขวาง” คือโดยไม่หวงหรือฝืนใจ
ผู้ที่ครอบครอง
หมายถึง การจัดการ การนำ การบริหาร ของประทานนี้คือการเป็นผู้นำในคริสตจักร
เปาดลบอกว่าของประทานชนิดนี้ต้องใช้โดย “เอาใจใส่” คือทำด้วยความกระตือรือร้น
ขยันขันแข็งและจริงใจ (1 คร 12-4-11)
การแสดงความเมตตาด้วยใจยินดี
เป็นความสามารถที่จะแสดงความเมตตาปรานีโดยไม่มีความรู้สึกว่าตนเหนือกว่า ในคริสตจักรยุคแรกคนที่ได้รับของประทานชนิดนี้จะแสดงออกโดยการช่วยเหลือคนที่ประสบกับความยากลำบาก
คนที่อ่อนแอ คนที่เจ็บป่วย คนพิการ เปาโลบอกว่าการใช้ของประทานชนิดนี้ต้องใช้
“ด้วยใจยินดี” คือเต็มใจและเข้าใจ
ไม่ใช่ทำเพราะเป็นหน้าที่หรือเพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้
การกระทำด้วยความรัก
(ข้อ 9 – 13)
โรม 12 – 9
ในภาษากรีกมีคำว่า “รัก” อยู่หลายคำที่มีความหมายแตกต่างกันไปบ้าง
ในข้อนี้เปาโลใช้ 6.คำว่า “อกาเป้”
หมายถึงคุณลักษณะความรักแบบพระเจ้า
เป็นความรักที่พระเจ้าประทานให้แก่ผู้เชื่อโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
ผู้เชื่อเองก็ต้องแสดงความรักแบบนี้ต่อคนอื่นโดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์
คำว่า “จริงใจ” หมายถึงปราศจากการหลองลวง
เราไม่ควรเสแสร้งทำเป็นรักผู้อื่น
“จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี”
นักศาสนศาตร์หลายคนมองว่าประโยคทั้งสองนี้นั้นอธิบายความจริงใจของความรัก
และแปลข้อนี้ว่า ขอให้มีความรักที่ไม่มีอะไรอแบแฝง เกลียดชังความชั่วและส่งเสริมความดีงาม
การหันหลังให้กับความชั่วจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการยึดมั่นในสิ่งที่ดี
โรม 12 – 10
7.ในข้อนี้มีคำสั่งอยู่
2 ประการ คำสั่งข้อแรกคือ “จงรักกันฉันท์พี่น้อง” ความรักแบบนี้เป็นความรักในแบบครอบครัวและควรจะเป็นลักษณะความรักระหว่างสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าด้วย
คำสั่งที่สองคือ
“จงให้เกียรติแก่กันและกัน” ในเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกันนั้น
เปาโลบอกกับผู้เชื่อว่าต้องให้คนอื่นมาก่อนตนเองเสมอ
โรม 12 – 11
จงขยันทำงานอย่าขี้เกียจครับพี่น้อง
อย่าขาดความกระตือรือร้น
เนื่องจากบทนี้เปาโลกำลังพูดเกี่ยวกับการใช้ของประทานเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่กันและกันทั่วทั้งคริสตจักร
เราจึงสามารถนำมาใช้กับการปรนนิบัติรับใช้ของคริสตชนได้
การมีชีวิตที่เต็มด้วยพระวิญญาณย่อมมีความชื่นชมยินดีและไม่เบื่อหน่ายในการดำเนินชีวิต
ผู้เชื่อจะต้องทำหน้าที่ของตนเองเพื่อปรนนิบัติรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าและการรับใช้นั้นก็แสดงถึงความเชื่อฟัง
โรม 12 – 12
“จงชื่นชมยินดีในความหวัง”
เปาโลได้พูดถึงความหวังแบบนี้ในโรม ๕-๒ , ๘-๑๘-๑๙ เรามีความหวังเพราะเรารู้ว่าวันนึงเราจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์
เป็นความหวังที่เกิดขึ้นจากความรู้ว่าวันนึงเราจะรอดพ้นจากบาปโดยสิ้นเชิง
และไม่ต้องพบกับความชั่วร้ายและความโศรกเศร้าอีก
เป็นความเชื่อมั่นวางใจในทุกสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้
“จงอดทนต่อความยากลำบาก”เราต้องมีความมั่นคงและอดทนนาน
ต่อความยากลำบาก ความยุ่งยาก ปัญหา ความกดดันต่างๆ ไม่วจะทางฝ่ายจิตวิญญาณรึว่าเนื้อหนัง
จงอดทนเพื่อพระเจ้า
“จงขมักเขม้นอธิษฐาน” ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า
“ขมักเขม้น” แสดงว่าการอธิษฐานนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างขยันขันแข็ง
เป็นการกระทำที่ต้องทำต่อเนื่องอย่างเอาใจใส่ ทำบ่อยๆ
จงสัตย์ซื่อในการอธิษฐานครับพี่น้อง
อย่างที่ผมพูดใน CG ว่าอยากให้พี่น้องนั้นอธิษฐานไม่ว่าจะมีความสุขหรือความทุกข์ การอธิษฐานเป็นสิ่งนึงที่จะทำให้เราติดสนิทกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้นอีกด้วย
โรม ๑๒ – ๑๓
“จงเห็นอกเห็นใจช่วยธรรมิกชนเมื่อเขาขัดสน”
จงแบ่งปันความต้องการให้ธรรมิกชน และนี่เป็นลักษณะของคริสตจักรเยรูซาเล็ม (กจ.๒-๔๔-๔๕
, ๔-๓๒ , ๓๔-๓๗) ความเห็นอกเห็นใจเป็นแรงจูงใจให้คริสตจักรในอันทิโอกช่วยเหลือคริสตจักรในเยรูซาเล็ม
(๑ โค ๑๖-๑-๔, ๒ โค ๘-๙, รม ๑๕-๒๕-๒๗)
จงมีน้ำใจอัธยาศัยไมตรี
จงแสดงความเป็นมิตรต่อคนแปลกหน้า (ฮิบรู ๑๓-๒)
เปาโลได้ขอให้คริสเตียนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้เชื่อที่เดินทางไปมา
เพราะถ้าปราศจากท่าทีนี้ การเผยแพร่ข่าวประเสริฐในยุคแรกคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก
ไม่ใช่เฉพาะในสมัยแรกเท่านั้นแต่รวมถึงสมัยนี้ด้วย
รักศัตรู (๑๔ – ๒๑)
ในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เปาโลได้พูดถึงวิธีที่จะแสดงความรักต่อคนที่อยู่นอกสตจักร
แม้ว่าข้อข้อพระคัมภีร์นี้จะอ้างถึงสัมพันธภาพของคริสเตียนต่อเพื่อนบ้านและมิตรสหายของเขา
แต่ไม่ได้หมายความว่าเปาโลไม่ได้หมายความถึงคริสเตียนด้วย
และพระคัมภีร์ตอนนี้ยังแสดงให้เห็นว่าคนของพระเจ้าสามารถอดทนปัญหาที่เกิดมาจากคนที่ไม่เป็นคริสเตียนได้
โรม ๑๒ – ๑๔
เปาโลบอกคริสเตียนที่กรุงโรมว่าพวกเขาจะต้องอวยพรไม่แช่งด่าคนที่เขี่ยวเข็ญพวกเขา
ในสมัยนั้นการกดขี่ข่มเหงมีหลายวิธี นับแต่คำพด กล่าวร้าย ตัดออกจากสังคม
และอาจจะรุนแรงถึงตาย ยกตัวอย่างของสเทเฟน
และพระเยซูตัวอย่างของทั้งสองคนเป็นคำสอนว่าเราจะตอบสนองต่อการข่มเหงอย่างไรคำตอบก็คือด้วยการอธิษฐานขอให้พระเจ้าให้อภัยผู้ที่ข่มเหงตน
(มธ ๕-๔๔, ลก ๖-๒๗-๒๘ (สเทเฟน. กจ.๗-๖๐)
โรม ๑๒ – ๑๕ – ๑๖
เปาโลขอให้ผู้อ่านของท่านร่วมแบ่งปันความชื่นชมยินดีและความโศกเศร้ากับคนที่อยู่รอบข้างเขา
สิ่งที่เป็นเรื่องน่าสังเกตก็คือ การร่วมแบ่งปันความโศกเศร้ามักจะง่ายกว่าการร่วมแบ่งปันความชื่นชมยินดี
“จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”
การสามัคคีกลมเกลียวกับคริสเตียนคนอื่นเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เราสามารถมีความรู้สึกร่วมกับพวกเขาได้
8.เปาโลอธิบายในข้อนี้ว่าเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้
คริสเตียนจ้ะองมี ๓ อย่างได้แก่
๑.อย่าใฝ่สูง –
อย่าคิดมองตัวเองสูงเกินไป
๒.จงถ่อมใจลงยอมทำการต่ำ –
จงคบคนต่ำต้อย
๓.อย่าถือว่าตัวฉลาด –
อย่ามองว่าตัวเองฉลาด
โรม ๑๒ – ๑๗
คำเตือนในข้อ ๑๗-๒๑
เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อและผู้ที่ยังไม่เชื่อ
หลักการณ์ในพระคัมภีร์เดิมคือ “ตาแทนตา” (อพย ๒๑-๒๔-๒๕) (พูดถึงข่าวตาบอด) พระเยซูได้ทำให้ธรรมบัญญัติและคำพยากรณ์ชัดเจนขึ้น
ในพระธรรมมัทธิว ๕-๓๘-๓๙ สอนไว้ว่า
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า
ตาแทนตาและฟันแทนฟัน ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน
จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย”
โรม ๑๒ – ๑๘
ถ้ามีการแตกแยกหรือขัดแย้งในสังคม
ก็ขออย่าให้คริสเตียนเป็นคนเริ่มต้นปัญหา คริสเตียนควรอยู่อย่างสงบสุขและกลมเกลียว
เปาโลสรุปโดยบอกว่า “เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน” หมายความว่า ความสามัคคีกลมเกลียวกับคนอื่นนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
และแม้ว่าอาจจะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ผู้เชื่อไม่ควรจะเป็นผู้ก่อความไม่สงบ
โรม ๑๒ – ๑๙ – ๒๐
“การแก้แค้นเป็นของเรา เองจะตอบสนอง” (ฉธบ ๓๒-๓๕,
ฮบ ๑๐-๓๐-๓๑) ดาวิดมีโอกาสถึงสองครั้งที่จะฆ่าซาอูลแต่ดาวิดก็ไม่ยอมทำทั้งๆที่ดูเหมือนว่าพระเจ้าก็ทรงมอบซาอูลไว้ในมือของดาวิด
เปาโลบอกว่าแทนที่จะทำการแก้แค้น
คริสเตียนควรจะจัดทำอาหารและเครื่องดื่มให้ศัตรูและด้วยการกระทำเช่นนี้เปาโลบอกว่า
“เป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศรีษะของเขา” การแสดงความกรุณาต่อศัตรู
จะทำให้เขารู้สึกละอายใจ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การกลับใจใหม่ ข้อความนี้เป็นข้อความที่คัดมาจาก
(สุภาษิต ๒๕-๒๑-๒๒) 9.การวางถ่านที่ลุกโพลงบนศรีษะอาจจะหมายถึงพิธีกรรมในอียิปต์ที่แสดงถึงการกลับใจอย่างแท้จริง
โรม ๑๒ – ๒๑
ข้อนี้เป็นบทสรุปของเปาโลในเรื่องนี้
ซึ่งมีทั้งด้านบวกและด้านลบ แม้คริสเตียนจะเป็นคนแห่งแผ่นดินสวรรค์
แต่คริสเตียนก็ยังคงอาศัยอยู่ในโลกที่ชั่วร้าย ดังนั้นคริสเตียนจะต้องต่อสู้
เพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของลักษณะนิสัยแบบโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น