วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Romans 10


                                2.การปฏิเสธนำสู่การไร้ความเชื่อ (10-1-15)
            โรม 10 - 1
ในตอนต้นของบทที่ 9 เปาโลพูดถึงภาระใจของท่านต่อความรอดของพวกอิสราเอล เมื่อกล่าวถึงความจริงที่ว่าอิสราเอลสะดุดในข้อที่แล้ว เปาโลก็อธิบายเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงสะดุด เปาโลยืนยันความรักของท่านต่อพี่น้องร้วมชาติอย่างชาญฉลาด ก่อนที่ท่านจะขยายความในหัวข้อความผิดพลาดของคนอิสราเอล
            คำว่า “พี่น้อง” มาจากคำภาษากรีกสองคำ คำนึงหมายถึง “อันหนึ่งอันเดียวกัน” ส่วนอีกคำคือ “ครรถ์” เปาโลกำลังบอกว่าตัวท่านและพวกยิวเป็นพี่น้องที่มาจากพ่อแม่เดียวกัน
            แม้ท่านจะเขียนถึงความล้มเหลวของพวกเขา แต่ท่านก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขา ความปราถนาของเปาโลที่อยากจะเห็นคนยิวได้รับความรอดปรากฏอย่างชัดเจนเมื่อเปาโลพยายามนำพระกิตติคุณมาประกาศกับพวกยิวก่อน ซึ่งจะเห็นได้จากหนังสือกิจการ
            โรม 10 – 2
            เปาโลยืนยันว่าท่านเข้าใจความกระตือรือร้นของชาวยิวในเรื่องพระเจ้าเพราะท่านเองก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน และก็เคยเป็นผู้นำในการข่มเหงคริสเตียนเพราะคิดว่าพวกเขาเป็นพวกที่ทรยศต่อพระเจ้าและต่อบรรพบุรุษของอิสราเอล แต่อย่างไรก็ตามในข้อนี้ท่านได้กล่าวว่าความกระตือรือร้นของพวกยิวนั้น หาได้เป็นตามปัญญาไม่ คือไม่ได้ตั้งอยู่บนความรู้ที่ถูกต้อง พวกเค้ามีความร้อนรนจริง แต่เป็นความร้อนรนทำไปในแนวทางที่ผิด อิสราเอลถูกเรียกว่าเป็นพวกมัวเมาพระเจ้า คนยิวมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าแต่ไม่ใช่ความรู้ที่สมบูรณ์ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สะดุดพระเยซูและแสวงหาความชอบธรรมโดยการประพฤติ

            โรม 10 – 3
            พวกยิวนั้นไม่เข้าใจความชอบธรรมที่แท้จริงที่มาจากพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามสร้างความชอบธรรมของพวกเขาขึ้น พวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า ความชอบธรรมที่เปาโลได้กล่าวถึงในบทที่ 3-8 นั้นมีลักษณะตรงข้ามกับความชอบธรรมในรูปแบบที่ชาวยิวกำลังเข้าใจและปฏิบัติอยู่ คนยิวนั้นไม่เข้าใจเรื่องความชอบธรรมของพระเจ้า และนี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงพยายามตั้งความชอบธรรมของตนขึ้น จึงไม่น่าสงสัยเลยที่พวกเขาไม่ยอมรับความชอบธรรมที่พระเจ้าเตรียมไว้ในทางพระเยซูโดยความเชื่อ
            ผลผลิตของการตั้งความชอบธรรมขึ้นเองก็คือการตีความธรรมบัญญัติตามความคิดของตนเอง พวกยิวไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาปฏิบัติตามข้อความในหนังสือ “มิชนาร์” และหนังสือ “ทอลมุด” ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนโดยพวกธรรมาจารย์เพื่ออธิบายว่าคนยิวจะปฏิบัติตัวอย่างไนในแต่ละกรณี และคำอธิบายเหล่านี้ไม่ถูกต้องตรงเจตนารมณ์ของธรรมบัญญัติ และนี่ก็คือความชอบธรรมที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง
            โรม 10 – 4
            ข้อนี้จึงหมายความว่าพระเยซูทรงเป็นเป้าหมายหรือเป็นจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นจุดประสงค์ที่ธรรมบัญญัติมุ่งไปถึง พระคริสต์เป็นเหตุให้เราตระหนักว่าธรรมบัญญัติไม่ได้เป็นทางนำสู่ความชอบธรรม และการทำความดีไม่ได้ทำให้เราเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า ธรรมบัญญัติเป็นตัวบ่งชี้ให้เรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนชอบธรรมและจำเป็นต้องพึ่งพระคริสต์
           

พระองค์มอบชีวิตของพระองค์เพื่อเป็นค่าไถ่บาปสำหรับโทษบาปและการฝ่าฝืนธรรมบัญญัติของมนุษย์ ธรรมบัญญัติชี้ไปที่พระองค์ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นแหล่งของความชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้ คนยิวที่รักพระเจ้า ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า จะเชื่อในพระเยซูคริสต์และรับความชอบธรรมจากพระเจ้า ส่วนคนยิวที่แสวงหาความชอบธรรมของตัวเองด้วยการประพฤติมักจะมองไม่เห็นว่าพระเยซูคริสต์ว่าเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติและพวกเขาก็สะดุดพระองค์
โจม 10 – 5
ในข้อนี้เปาโลพูดถึงการได้รับความชอบธรรมของคนยิวโดยการใช้ธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ทรงประทานแก่โมเสสในเลวีนิติ 18-5 ซึ่งเรียกร้องให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ดังที่ปรากฏอยู่ในกฏเกณฑ์และข้อกำหนดต่างๆของพระองค์ โมเสสกล่าวว่าบุคคลที่ประพฤติตามพระบัญญัติจะ “ได้ชีวิตโดยการประพฤตินั้น”
พวกยิวนั้นเข้าใจว่าการถือรักษาพระบัญญัติจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาใช้เลวีนิติ 18-5 มาสนับสนุนความคิดของพวกเขา แต่อย่างไรก็ตามเนื้อหาที่โมเสสเขียนนี้เป็นช่วงเวลาที่เขากำลังสอนชนชาติอิสราเอลให้ดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรม ตรงข้ามกับบรรดาคนนอกศาสนาที่ไร้ศีลธรรมที่แวดล้อมพวกเขาในเวลานั้น นั่นแสดงว่าพวกยิวตีความหมายของโมเสสผิดไป
เปาโลกล่าวถึงความตรงข้ามของการแสวงหาความชอบธรรมด้วยการประพฤติ เพื่อแสดงให้เห็นพระคุณของพระเจ้าที่ประทานความชอบธรรมให้มนุษย์ผ่านทางพระคริสต์โดยความเชื่อ ถ้าคนยิวได้รับความชอบธรรมด้วยการประพฤติตามพระบัญญัติ ความชอบธรรมก็จะเป็นแค่ความสำเร็จของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าประทานให้

โรม 10 – 6 – 7
ในสองข้อนี้เปาโลได้ใช้ข้อความหลายตอนจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ 30-12-14 เพื่อแสดงว่ามนุษย์ไม่สามารถทำให้ตัวเองเป็นคนชอบธรรมได้ คำว่า”ไม่มีผู้ใดสามารถขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อนำพระคริสต์ลงมา” หมายความว่าการที่พระคริสต์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า และคำว่า “ใครจะลงไปยังที่ลึก” ในข้อที่ 7 นี้ หมายถึงความตายและหลุมฝังศพ ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติโมเสสใช้คำว่า “ทะเล” แต่เปาโลใช้คำว่า “ที่ลึก” ใครกันที่จะลงไปในหลุมฝังศพและสามารถทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา
เปาโลกล่าวเปรียบเทียบอย่างนี้เพื่อจะบอกว่าจะได้รับความชอบธรรมได้อย่างไร ซึ่งคำตอบอยู่ในข้อ 8 ครับ
โรม 10 – 8
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเปาโลได้คัดข้อความมาจากเฉลยธรรมบัญญัติ 30-12-14 ซึ่งเป็นหนึ่งในคำสั่งของโมเสสต่ออิสราเอลในยุคนั้นก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่คานาอัน พระเจ้าสัญญาว่าจะอวยพรแก่คนที่มีความเชื่อและเชื่อฟัง และจะทรงลงโทษคนที่ปฏิเสธและคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า
เมื่อเปาโลบอกว่าถ้อยคำนั้นอยู่ใน “ปาก” และ “ใจ” ท่านกำลังพูดถึงความเชื่อ ซึ่งท่านจะได้อธิบายต่อไปในข้อ 9 ซึ่งก็พูดถึงปากและใจด้วย
โรม 10 – 9 - 10
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าพระคัมภีร์สองข้อนี้พูดถึงขั้นตอนที่นำไปสู่ความรอด เปาโลได้อธิบายในข้อ 9 ว่าสิ่งที่ทุกคนจะต้องกระทำเพื่อให้ได้รับความรอดคือ “รับด้วยปากและเชื่อในจิตใจ”
คำว่า “รับ” ในภาษากรีกนั้นมีความหมายว่า “สารภาพ” และเป็นการยอมรับอย่างเปิดเผยด้วย การสารภาพด้วยปากว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้านั้นคือเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความเป็นคริสเตียน (ดู ฟป.2-11 + 1 คร. 12-3) การยอมรับด้วยปากไม่ได้หมายถึงแค่การสารภาพว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย แต่ยังหมายถึงการเชื่อฟังและการยอมจำนนต่อพระองค์อีกด้วย
เชื่อในจิตใจ หมายถึงความเชื่อมั่นและเกี่ยวข้องกับความเต็มใจและการอุทิศตัว จุดเริ่มต้นของความเชื่ออยู่ที่จิตใจ คำว่า “จิตใจ” ในภาษากรีกไม่ได้หมายถึงหัวใจ แต่หมายถึงจุดศูนย์กลางในความคิดและความรู้สึกของมนุษย์
ผลของการรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจเป็นความรอดที่แท้จริง คำว่า “ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม” แปลตรงตัวว่าความเชื่อนำไปสู่ความรอด
การยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด แปลตรงตัวว่า “การสารภาพนำไปสู่ความรอด” ขั้นตอนทั้งสองนี้ไม่ได้เป็นขั้นตอนที่แยกกัน ทั้งสองขั้นตอนต้องดำเนินไปพร้อมกัน ความรอดมาจากการยอมรับว่าพระเยซูคริสต์คือพระเจ้าและเชื่อในพระองค์ การยอมรับด้วยปากสำคัญเท่ากับความเชื่อในจิตใจ ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้และเป็นสิ่งที่จะนำเราไปสู่ความรอด
โรม 10 – 11
เปาโลหยิบยกเอาข้อความจากพระธรรมอิสยาห์ 28-16 มากล่าวอีกครั้งนึงในตอนนี้ และก่อนหน้านี้ในโรม 9-33 เปาโลก็ได้อ้างอิงอิสยาห์ 28-16 ด้วยเช่นกัน
คำว่า “ไม่ได้รับความอับอาย” หมายถึงการพิพากษา (อสย 50-7-8) คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูจะไม่ได้รับการพิพากษา และเปาโลยกเอาข้อความในหนังสืออิสยาห์มาเป็นเหตุผลว่า
“เพราะว่าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ขายหน้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟและข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้อาย เพราะพระองค์ผู้ทรงแก้แทนข้าพเจ้าก็ทรงอยู่ใกล้ ใครจสู้คดีกับข้าพเจ้า ก็ให้เรายืนอยู่ด้วยกัน ใครเป็นปฏิปักษ์ของข้าพเจ้า ก็ให้เขามาใกล้ข้าพเจ้า
โรม 10 – 12
ไม่ทรงถือว่าต่างกัน หมายความว่า ทั้งยิวและต่างชาติเป็นคนบาปเหมือนกัน (รม.3-23) ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการความรอดเหมือนกันซึ่งจะได้มาโดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น
เปาโลกล่าวว่าพระเจ้าองค์นี้เป็นพระเจ้าของคนทั้งปวง และทุกคนที่ทูลขอต่อพระองค์จะได้รับพระราชทานอย่างบริบูรณ์ ในข้อนี้เปาโลกำลังพูดถึงพระพรที่พระเจ้าจะทรงประทานให้แก่ผู้ที่ได้รับความรอด (เอเฟ 1.3)
โรม 10 – 13
ข้อความในพระคัมภีร์ตอนนี้นำมาจากโยเอล 2.32 ซึ่งเปโตรเองก็เคยอ้างอิงข้อความนี้เมื่อท่านลุกขึ้นเทศนาให้คนมากมายฟังในวันเพนคศเต ประตูแห่งความรอดได้เปิดไว้สำหรับทุกคนแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธไม่ยอมรับผู้ที่พระเจ้าได้ทรงส่งมาก็ตาม (กจ 2-21)
คำว่า “ร้องออกพระนาม” หมายถึงการอธิษฐานขอความรอดด้วยความเชื่อ (กจ 3-16) ความรอดที่พระคริสต์ประทานให้นั้น มีผลทั้งในปัจจุบันและนิรันดร์กาล (ยน 5-24 / 10-28-29 / รม 8-32-39 / ฮบ 11-1)


โรม 10 – 14
ข้อ 14 – 15 เปาโลได้เปลี่ยนเรื่องจากความรับผิดชอบของบุคคลมาเน้นที่ผู้เชื่อจะต้องมีแผนงานของพระเจ้าในการช่วยเหลือผู้หลงหลงหาย ข้อความในตอนนี้มีความสละสลวยมากตอนนึงในพระคัมภีร์ แต่ละคำถามจะสอดคล้องเชื่อมโยงไปยังคำถามต่อไป คำถามทั้งหมดนี้มาเป็นขั้นตอน ย้อนลำดับจากท้ายสุดขึ้นไปจนถึงคำถามแรก และทั้งหมดนี้คือขั้นตอนที่จะช่วยให้บุคคลได้รับความรอด
ขั้นแรก – ต้องมีคนที่ถูกส่งออกไปประกาศพระกิตติคุณ คือใครสักคนนึงที่ถูกส่งออกไปกล่าวเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ เหมือนที่เปาโลถูกส่งมาบอกเล่าข่าวประเสริฐแก่ชาวโรมและเมืองอื่นๆ
การถูกส่งออกไปทำให้เห็นองค์ประกอบสองอย่าง อย่างแรก บุคคลผู้ถูกส่งไปนั้นอยู่ภายใต้ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเขา และข่าวสารที่เขาประกาศนั้นมิได้เกิดจากความคิดหรือความปราถนาของเขาเอง
ขั้นที่สอง – ต้องมีการประกาศพระกิตติคุณ การแจ้งข่าวสารให้ทราบ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะบนธรรมาสน์เท่านั้น ดังนั้นคริสเตียนทุกคนสามารถแจ้งข่าวสารเกี่ยวกับพระกิตติคุณให้คนอื่นทราบได้
ขั้นที่สาม – มีผู้ได้ยินพระกิตติคุณ คำภาษากรีกของคำว่าพระกิตติคุณคือ “ข่าวดีหรือสิ่งดี” เพราะคำว่า “ได้ยิน” ในภาษากรีกไม่ได้มีความหมายแค่การได้ยิน แต่หมายถึงการได้ฟังเนื้อหาสาระจนเกิดความเข้าใจ ดังนั้นการประกาศจึงเป็นการอธิบายถึงเรื่องราวการมาเกิด พระราชกิจ การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเบซู เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ
ขั้นสุดท้าย – บังเกิดความเชื่อขึ้นก่อนที่จะร้องทูลขอความรอดจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อคนใดคนหนึ่งเชื่อในพระเยซูคริสต์เขาก็จะทูลขอต่อพระองค์
โรม 10 – 15
ข้อพระคัมภีร์นี้อ้างอิงมาจากอิยาห์ 52-7 อิสยาห์เขียนข้อความนี้เพื่อบรรยายถึงผู้นำข่าวสารไปประกาศกับคนยูดาห์ว่าการตกเป็นเชลยของพวกเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว เปาโลได้นำคำกล่าวนี้มาใช้กับชาวยิวผู้ซึ่งได้รับพระกิตติคุณในยุคของท่าน
เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆหนอ ผู้ฟังของเปาโลคงแปลกใจที่ท่านพูดถึงเท้าที่งดงาม แต่สิ่งที่เปาโลกำลังจะบอกก็คือเท้านั้นเป็นอวัยวะที่งดงามเพราะมันเป็นพาหะในกานำข่าวประเสริฐแห่งความรอดมาถึงคนบาป
โรม 10 – 16
เรื่องน่าเศร้าเกี่ยวกับการประกาศพระกิตติคุณปรากฏอยู่ในข้อ 16 นี้เองคือ “ไม่ใช่ทุกคนได้เชื่อฟัง” คำในภาษากรีกหมายถึง “การฟังด้วยความรู้สึกและตอบสนองในทางบวก” จากนั้นเปาโลก็ยกคำของอิสยาห์มากล่าวไว้ว่า “ใครเล่าได้เชื่อในสิ่งที่เข้าได้ยินจากเราทั้งหลาย” พวกยิวไม่ยอมตอบสนองต่อข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยของพระเยซูและในสมัยของเปาโลด้วย

โรม 10 – 17 - 18
เปาโลได้สรุปสิ่งที่ท่านกล่าวไปก่อนหน้านี้ไว้ในข้อนี้ “ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน”  และ “การได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์” แปลได้ว่า การได้ยินเกิดจากการป่าวประกาศและเนื้อหาของการป่าวประกาศก็คือพระเยซู
เปาโลได้ตั้งคำถามดักหน้าผู้อ่านของท่านคือ “เขาทั้งหลายไม่ได้ยินเหรอ” หมายความว่าชาวยิวไม่มีโอกาศได้ยินพระกิตติคุณหรือ แต่เปาโลก็ตอบคำถามนี้ว่า “เขาได้ยินแล้วจริง”
หนังสือโรมนั้นเขียนขึ้นราว 25 ปีหลังวันเพนศเต ในวันนั้นเปาโลได้ลุกขึ้นประกาศพระกิตติคุณและมีคนถึง 3000 คนที่กลับใจใหม่ และต่อมาก็มีคนใหม่ๆมารับความรอดทุกวัน (กจ. 2-47) เปาโลรู้ว่าข่าวประเสริฐไม่เพียงประกาศแต่ในปาเลสไตน์เท่านั้น แต่ยังมีการประกาศในประเทศอื่นๆด้วย
ตัวเปาโลเองและเพื่อนร่วมงานก็ประกาศอย่างหนักในประเทศต่างๆแถบเมดิเตอร์เรเนี่ย เปาโลจึงตอบคำถามที่ท่านเองแต่งขึ้นโดยหยิบยกข้อความจากพระธรรมสดุดี 19-4 มาใช้เพื่อยืนยันว่าชาวยิวเกือบทุกหนทุกแห่งได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว
ดังนั้นชาวยิวจึงไม่มีข้อแก้ตัวว่าเขาไม่มีโอกาศที่จะได้ยินพระกิตติคุณ จัสติน มาร์เทอร์ (ผู้นำคริสตจักรในศตวรรษที่ 2) ได้เขียนไว้ว่า “ไม่มีคนของชนชาติใดที่จะอธิษฐานและโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าโดยไม่ออกนามของพระเยซูผู้ถูกตรึงกางเขนนั้น มีเขียนไว้ในหนังสือว่าในช่วงปลายยุคของอัครสาวกประมาณว่ามีคริสเตียนอยู่ราว 500.000 คนเลยทีเดียว

โรม 10 – 19
เปาโลคาดว่าผู้อ่านของท่านอาจจะโต้แย้งหรือไม่ก็อาจจะบอกว่าชาวยิวได้ยินข่าวประเสริฐจริงแต่ไม่เข้าใจ เปาดลเลยถามว่า “พลอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ” คำตอบของคำถามนี้มาจากพระคัมภีร์เดิมสองตอน คือ เฉลยธรรมบัญญัติ 32-21 และอิสยาห์ 65-1
โรม 10 – 20
เปาโลได้ยกข้อความจากพระคัมภีร์เดิม (อสย 65-1) มากล่าวเพื่อสนับสนุนสิ่งที่ท่านได้กล่าวไปในข้อก่อน อิสยาห์ได้พยากรณ์ว่าจะมีผู้ที่มาถึงพระคริสต์ ซึ่งเป็นชนชาติที่ไม่เคยร้องออกพระนามของพระเจ้า
โรม 10 – 21
ข้อความตอนนี้คัดลอกมาจากพระธรรมอิสยาห์ 65-2 เพื่อบอกถึงสภาพทางฝ่ายจิตวิญญาณของคนอิสราเอล ซึ่งไม่ได้เกิดจากการขาดโอกาสที่จะได้ยินพระกิตติคุณ หรือขาดความเข้าใจในเนื้อหาของพระกิตติคุณ แต่ที่พวกเขาปฏิเสธเพราะพวกเขาเป็นกบฏมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่สมัยโมเสสและต่อเนื่องมาจนถึงสมัยผู้เผยพระวจนะ และที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นคือพวกยิวยังปฏิเสธพระเยซูด้วยซ้ำ

Romans 11


                อิสราเอลกลับสู่สภาพเดิม (11-1-36)
            ในพระธรรมโรมบทที่ 10 เปาโลได้กล่าวถึงความล้มเหลวของอิสราเอลในการตอบสนองต่อความชอบธรรมของพระเจ้า และจบด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเป็น “คนที่ไม่เชื่อฟังและดื้อดึง” ความบาปและความดื้อรั้นของคนอิสราเอลได้ทำลายความประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่ และพระเจ้ามีวิธีอะไรที่จะจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อรักษาพระประสงค์ของพระองค์เอาใว้ และเปาโลก็ได้ตอบคำถามนั้นใว้ในโรมบทที่ 11 นี้เอง ในบทที่ 11 นี้จะแยกออกเป็น 4 ส่วนนะครับและในวันนี้ผมจะมาพูดในส่วนที่ 1 ให้ฟังก่อน และในส่วนที่ 1 นี้จะพูดถึงเรื่อง
            1.การปฏิเสธของอิสราเอลไม่ใช่จุดจบ (1-12)
            โรม 11 - 1
            รูปแบบของคำถามในข้อนี้คาดหวังคำตอบแบบปฏิเสธ ที่เปาโลใช้คำถามแบบนี้ก็เพื่อแสดงการปฏิเสธอย่างหนักแน่น โดยมีความหมายว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
            เปาโลใช้ตัวเองเป็นข้อพืสูจน์โดยชี้ให้เห็นว่าท่านก็เป็นคนอิสราเอลเป็นลูกหลานของอับราฮัมและเป็นคนในเผ่าเบนยามิน (ฟป 3-5) แล้วเบนยามินเป็นใคร? เบนยามินเป็นบุตรชายคนที่ 12 ของยาโคบ เป็นบุตรคนเดียวที่เกิดในแผ่นดินคานาอันดินแดนแห่งพันธสัญญา และกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอลที่ชื่อซาอูลก็มาจากเผ่าเบนยามินนี้
            โรม 11 – 2
            ในข้อนี้เปาโลอ้างอิงคำพูดของผู้เผยพระวจนะเอลียาห์มาเป็นหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าพระเจ้าได้ทรงปฏิเสธชนชาติที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ คนอิสราเอลได้ปฏิเสธพระเจ้า ยกเว้นกลุ่มชนที่เหลืออยู่
            ในสมัยของเอลียาห์นั้นมีคนจำนวนมากที่ละทิ้งพระเจ้า (1 พกษ 19-1-18) เหตุการณ์ช่วงนี้เลวร้ายมาก แม้เอลียาห์เองก็ต้องหนีเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่าของเยเซเบล เอลียาห์ได้ร้องทูลพระเจ้าว่าท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่นมัสการและยังคงเหลืออยู่ เปาโลจึงได้เขียนคำตอบของพระเจ้าต่อเอลียาห์ไว้ในโรม 11-4 ว่ายังมีผู้เชื่อเหลืออยู่ในอิสราเอลถึง 7000 คน และไม่มีสักคนเดียวในพวกเขาที่จะยอมคุกเข่าลงกราบไหว้พระบาอัล เอลียาห์ไม่ใช่อิสราเอลคนเดียวที่เหลืออยู่ที่ยังไม่ปฏิเสธพระเจ้า
            ตลอดประวัติศาสตร์ของอิสราเอล พระเจ้าได้ทรงสงวนกลุ่มชนเล็กๆไว้เช่นในสมัยของโนอาห์ คนที่ต้องพินาศไปกับน้ำท่วมมีจำนวนมากมาย แต่ก็มีไม่กี่คนที่ยังรอดชีวิต (ปฐม 6-1-8)
            โรม 11 – 3
            เอลียาห์มองดูตัวเองว่าเป็นผู้เชื่อคนเดียวและท่านรู้สึกหดหู่เพราะต้องหนีเอาชีวิตรอดจากเยเซเบล (1 พกษ 19-10-14) ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นเหมือนคำคร่ำครวญของเอลียาห์
            โรม 11 – 4
            แล้วพระเจ้าทรงตอบท่านว่าอย่างไร แปลตรงตัวว่า คำตอบจากสวรรค์ พระเจ้าไม่ได้มีแต่ผูพยากรณ์ที่กำลังกลัวและหดหู่คนเดียวเท่านั้น เพราะพระองค์ได้เหลือคนของพระองค์ที่ยังยืนหยัดในความเชื่อไว้ถึง 7000 คน
            คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจของเยเซเบลที่บังคับให้นมัสการรูปเคารพ (1 พกษ 19-18)



            โรม 11 – 5
            เปาโลกล่าวสรุปไว้ในข้อนี้ว่าพวกที่เหลืออยู่เนื่องจากการทรงเลือกด้วยพระคุณ คำที่สำคัญในข้อนี้ก็คือ “เลือกไว้โดยพระคุณ” เปาโลเป็นคนหนึ่งในบรรดาคนอิสราเอลจำนวนมากในสมัยของท่านที่พระเจ้าเลือกให้มีความเชื่อ พระเจ้าไม่ได้ทรงละทิ้งพวกอิสราเอลทั้งในสมัยเอลียาห์และในสมัยของเปาโลและในสมัยของเราด้วย
            โรม 11 – 6
            ในข้อนี้เปาโลได้เปรียบเทียบคำว่า “การประพฤติ” และ “พระคุณ” การได้รับความรอดโดยการประพฤติคือสิ่งที่ชาวยิวเน้นถึง แต่พระคุณเป็นของพระเจ้า และเป็นวิธีเดียวที่มนุษย์จะได้รับความรอด การได้รับความรอดโดยพระคุณนั้นเป็นของประทานจากพระเจ้า (อฟ 2-8-9)
            โรม 11 – 7
            ในข้อนี้เปาโลพูดถึงความล้มเหลวของคนอิสราเอล พวกเขาพยายามแสวงหาความชอบธรรมโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่ก็แสวงหาไม่พบ เปาโลกล่าวถึงชาวยิวว่า “อุตส่าห์ตั้งความชอบธรรมของตัวเองขึ้น” (รม 10-3)
            คนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ หมายถึง พวกยิวที่ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ ดังนั้นสภาพที่กำลังเกิดกับพวกยิวคือการไร้สำนึกอย่างถาวรในเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายจิตวิญญาณ
            เปาโลได้อธิบายว่า ผู้ที่ถูกเลือกโดยพระคุณในพวกอิสราเอลนั้นหมายความว่าอย่างไร สถานการณ์ขณะนั้นตรงข้ามกับที่ควรจะเป็น คนยิวพยายามทำทุกอย่างให้พระเจ้ายอมรับ โดยการประพฤติและแสวงหาความชอบธรรมที่มาจากการกระทำตามธรรมบัญญัติ อย่างไรก็ตามพระเจ้าไม่ได้ทรงยอมรับพวกเขา แต่ยอมรับผู้ที่ถูกเลือกไว้เท่านั้น เนื่องจากพระองค์มีสิทธิ์ที่จะเลือกตามพระคุณของพระองค์
            โรม 11 – 8
            เปาโลได้นำพระคัมภีร์เดิม 2 ตอนมารวมกันไว้ที่นี่คือ เฉลยธรรมบัญญัติ 29-4 และอิสยาห์ 29-10 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลสองยุคที่แตกต่างกัน ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติพูดถึงการที่ชนชาติอิสราเอลได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆในระหว่างการอพยพและการรักษาชนชาติอิสราเอลไว้ในระหว่างการเดินทางที่ยาวนานในถิ่นทุรกันดารสู่แผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ แต่ทั้งๆที่พวกเขามีประสบการณ์อย่างนั้น พวกเขาก็ยังไม่รักและไม่พึ่งพาพระเจ้า
            ในตอนที่คัดมาจากพระธรรมอิสยาห์เป็นคำพยากรณ์ของอิสยาห์ว่า ประชาชนได้ปิดหูไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ผ่านมาทางผู้รับใช้ของพระองค์ ผลก็คือ “พระเจ้าประทานใจที่เซื่องซึมแก่พวกเขา” ในข้อนี้เปาโลบอกว่าคนอิสราเอลเป็นพวกที่มีใจเซื่องซึม ตาบอดและหูที่ไม่ได้ยินในเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ พระเจ้ามิได้ทรงทำให้พวกเขาหูหนวกหรือตาบอดเพื่อเยาะเย้ยพวกเขา แต่นี่คือโทษสำหรับการเพิกเฉยต่อพระคุณและไม่ถวายสง่าราศีแด่พระองค์
            โรม 11 – 9 – 10
            เปาโลได้ยกตัวอย่างสภาพของชาวอิสราเอลในข้อ 9-10 โดยคัดมาจากพระธรรมสดุดี 69-22-23 ซึ่งเป็นสภาพที่ดาวิดกำลังทุกข์ทรมานจากการเล่นงานของศัตรูของพระองค์ ในพระธรรมสดุดีตอนนี้ดาวิดอธิษฐานขอพระเจ้าให้ทรงนำภัยพิบัติมายังศัตรูของพระองค์ ดาวิดทูลขอพระเจ้าทำให้ “งานเลี้ยง” ของศัตรูกลายเป็นสิ่งที่จะทำให้พวกเขาล้มลง
            เปาโลอ้างอิงจากพระคัมภีร์ตอนนี้เพราะว่าเป็นข้อพระคัมภีร์ที่คริสตจักรในยุคนั้นใช้กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ (ยอห์น 15-25)
            พวกเขาถูกพระเจ้าพิพากษาเพราะไม่ยอมรับความจริงของพระเจ้า หลังของเขางอค่อมเนื่องจากภาระของความรู้สึกผิดและการลงโทษ
            เปาโลไม่ได้กำลังบอกว่าความดื้อดึงและการกบฏของอิสราเอลจะมีอยู่ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด แต่ท่านหวังว่าวันหนึ่งพวกเขาจะกลับใจ เพราะถ้าเปาโลคิดว่าพวกยิวจะดื้อดึงตลอดไป ท่านคงไม่เสียเวลาเขียนจดหมายมาถึงพวกเขา
            โรม 11 – 11 - 12
            เป็นความจริงที่พวกอิสราเอลสะดุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นการล้มที่ไม่มีทางแก้ไข การสะดุดของอิสราเอลเปิดโอกาสให้คนต่างชาติได้รับความรอด
            การละเมิดของคนอิสราเอลไม่เพียงแต่เป็นเหตุให้ “คนต่างชาติบริบูรณ์เท่านั้น” แต่ทำให้ “ทั้งโลกบริบูรณ์” คำว่า “โลก” ในที่นี้หมายถึง “มวลมนุษย์” นั่นเอง
            เปาโลรู้สึกว่าในที่สุดความอิจฉาหรือความขมขื่นของอิสราเอลเกี่ยวกับคนต่างชาติจะทำให้ชนชาตินี้กลับมาถึงพระคริสต์

            ความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะกลับสู่สภาพเดิม (13-24)
            พี่น้องอาจจะมีคำถามในใจว่า “ทำไมเราจะต้องมารู้เรื่องเกี่ยวกับพวกอิสราเอลว่าจะรอดหรือไม่รอด” (ถามพี่น้อง) เนื่องจากพวกนั้นทำตัวเองใช่มั้ยครับ พวกเขาเลือกที่จะปฏิเสธพระเจ้าเอง อะไรจะเกิดขึ้นกับเขาก็ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ถ้าเราคิดแบบนั้นเราก็จะเป็นเหมือนที่พวกอิสราเอลเคยเป็น ที่ไม่ประกาศเรื่องของพระเจ้า เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่รอดอยู่ดี ประกาศไปก็ไม่ได้รับความรอด เพราะพวกเขาอาจไม่เชื่อ แถมยังจะปฏิเสธอีก
แต่พระเจ้านั้นเป็นของทุกคนและพระองค์ก็อยากที่จะให้ทุกคนได้รับความรอด พระองค์ยินดีที่เห็นคนที่ไม่เชื่อนั้นกลับใจ เห็นคนบาปกลับมาหาพระองค์ เช่นกันครับพระองค์ก็ยินดีถ้าอิสราเอลกลับใจมาหาพระองค์ ดังนั้นเหตุผลที่เรามานั่งฟังเรื่องของอิสราเอลนั้น ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องที่สำคัญครับ เพราะเมื่อเราเห็นคนที่ปฏิเสธและไม่เชื่อในพระองค์นั้น เราจะไม่รู้สึกว่าไม่อยากจะยุ่งกับคนนั้น แต่เราควรจะรู้สึกว่ามีความหวังที่สักวันนึงเขาจะกลับใจและมาเชื่อในพระเจ้า
โรม 11 – 13
ข้อ 13 – 16 นั้นเป็นตอนหนึ่งในจดหมายของเปาโลที่พูดถึงสถานภาพของท่านและความจริงที่ท่านได้รับการเปิดเผย
ในข้อที่ 13 นี้เปาโลต้องการให้คนต่างชาติในคริสตจักรโรมนั้นเข้าใจความหมายทั้งหมดของสิ่งที่ท่านกล่าว พวกนั้นเห็นท่านเป็น “อัครทูตของคนต่างชาติ” แต่ท่านไม่ต้องการให้พวกเขาคิดว่าท่านไม่เห็นความจำเป็นในการประกาศต่ออิสราเอล เพราะว่างานประกาศข่าวประเสริฐมีความสำคัญมากสำหรับเปาโล และถ้าคนยิวปฏิเสธท่านก็จะไปหาคนต่างชาติ

โรม 11 – 14 – 15
คำว่า “กลับคืนดีกับพระองค์” หมายถึง การมีสัมพันธภาพที่ถูกต้องกับพระเจ้า “ความหมายของข้อนี้คือ “คนทั้งโลกจะกลับมาเป็นมิตรกับพระเจ้า” ในจดหมายของเปาโลที่ไปยังคริสตจักรเมืองโครินธ์ ท่านบอกว่าพระเจ้าได้ทรงประทานพันธกิจแห่งการกลับคืนดีให้แก่คริสเตียน
เปาโลเชื่อว่าชาวอิสราเอลจะกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ในภายหน้าเพราะว่าบรรพบุรุษของอิสราเอลนั้นบริสุทธิ์ ดังนั้นคนอิสราเอลทั้งหมดก็ย่อมจะบริสุทธิ์ด้วย แม้อิสราเอลบางคนจะถูกตัดขาดเพราะหลงผิดก็ตาม สำหรับเปาโลแล้ว การกลับใจใหม่ของชาวยิวเป็นเหตุการณ์ที่อัศจรรย์มากจนท่านนำมาเปรียบเทียบกับการให้ชีวิตแก่คนที่ตายไปแล้ว
โรม 11 – 16
เพราะเหตุที่เปาโลเชื่อว่าการสะดุดของอิสราเอลนั้นเป็นเรื่องชั่วคราว ท่านจึงยกตัวอย่างสองประการมาอธิบายประกอบ ตัวอย่างแรกนั้นมาจากคำสอนในพระธรรมกันดารวิถี 15-18-21 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการถวายเครื่องบูชาที่เรียกว่า “ผลแรก” หลังจากเข้าสู่แผ่นดินคานาอันและเก็บเกี่ยวข้าวสาลี พวกเขาจะต้องถวายเครื่องบูชานี้ทุกปีหลังจากฤดูเก็บเกี่ยว ขนมที่ได้จากลานนวดข้าวได้รับการชำระหรือถูกทำให้บริสุทธิ์เมื่อถวายแด่พระเจ้า
แป้งดิบก้อนแรกนั้นหมายถึง “ผลแรก” แป้งดิบทั้งอ่าง หมายถึงแป้งที่เหลือ “ทั้งก้อน” ตัวอย่างนี้เกี่ยวข้องกับคนอิสราเอลอย่างไร “แป้งที่ถวายเป็นผลแรก” หมายถึงอับราฮัม ท่านบริสุทธิ์เพราะท่านถูกแยกออกมาเพื่อพระเจ้า ส่วนลูกหลานของท่านคือ “ก้อนแป้งทั้งหมด” ก็ได้ถูกแยกออกมาเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้
ตัวอย่างที่สองเกี่ยวกับต้นไม้ “ราก” เป็นสัญลักษณ์แทนอับราฮัม และ “กิ่งทั้งหลาย” หมายถึงชนชาติอิสราเอลลูกหลานของอับราฮัม เปาโลยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายบริสุทธิ์เพราะพวกเขาถูกแยกออกมาและเตรียมไว้เพื่อถวายแด่พระเจ้า
โรม 11 – 17
เปาโลใช้สัญลักษณ์ของรากและกิ่งในข้อ 17-24
ในแถบปาเลสไตน์มีต้นมะกอกเทศสองชนิด คือมะกอกเทศป่าและต้นมะกอกเทศที่ปลูกขึ้นมา ในคำเปรียบเทียบของเปาโลนั้นอิสราเอลเป็น “ต้นมะกอกเทศบ้าน” ที่มีผู้ปลูกไว้และคนต่างชาติเป็น “กิ่งมะกอกเทศป่า” ซึ่งถูกนำมาต่อกิ่งไว้กับต้นมะกอกเทศบ้าน ส่วนรากของต้นมะกอกหมายถึง “บรรพบุรุษของอิสราเอล”
“การหักกิ่งบางกิ่ง” ของต้นมะกอกเทศบ้านหมายถึงคนอิสราเอลที่พระเจ้าปฏิเสธพวกเขา “การต่อกิ่งมะกอกเทศป่า”หมายถึงการยอมรับคนต่างชาติที่เชื่อในพระกิตติคุณ คำว่า”บางกิ่ง” ที่ถูกหักออกชี้ว่าอิสราเอลไม่ได้ถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ยังคงมีกิ่งที่เหลืออยู่บนต้น ซึ่งหมายถึงชาวยิวที่ต้อนรับพระคริสต์
เปาโลกล่าวว่า “กิ่งมะกอกเทศป่า” ที่นำมาต่อกิ่งนั้นได้รับน้ำเลี้ยงจากรากของต้นมะกอกเทศ หมายถึงเป็นส่วนหนึ่งของราก ผู้เชื่อชาวต่างชาติได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับประชากรของพระเจ้า
โดยทั่วไปคนยิวจะนำกิ่งมะกอกบ้านไปต่อกับต้นมะกอกเทศป่า ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เปาโลกล่าวในที่นี้ และเปาโลเองก็รู้ว่าการนำกิ่งมะกอกเทศป่ามาต่อกับต้นมะกอกเทศบ้านนั้นเป็นเรื่องผิดปกติ ซึ่งต่อมาเปาโลกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ (ถามพี่น้อง)

โรม 11 – 18
เปาโลเตือนคนต่างชาติไม่ให้อวดดีเพราะพวกเขาเป็นหนี้ชาวยิวในเรื่องความรอด (ยน 4-22) เพราะทั้งคริสเตียนชาวยิวและคริสเตียนชาวต่างชาติต้องขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจาก “ราก” ซึ่งหมายถึงบรรพบุรุษของอิสราเอล ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยพันธสัญญาของพระเจ้า ผู้ที่เป็นชาวต่างชาติซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าคนต่างด้าว แต่บัดนี้ได้กลายมาเป็นพลเมืองและทายาทร่วมกับประชากรของพระเจ้า ทั้งสองพวกได้ถูกกระทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระคริสต์ พูดง่ายๆก็คือพระเจ้าอยากให้ทุกคนรักกันนั่นเอง ไม่ใช่ว่า เห้ย...นั่นคนพม่าที่เคยรุกรานชาติไทย มาเชื่อในพระเจ้า ไม่เอาๆ อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้องนะครับ พระเจ้าเป็นของทุกคนและพระองค์ก็อยากเห็นผู้เชื่อของพระองค์นั้นรักกัน
โรม 11 – 19
ในข้อ 18 เปาโลเตือนคนต่างชาติว่า “อย่าอวดดี” ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะทำบาปเดียวกับพวกยิว คือ การโอ้อวดสถานภาพพิเศษของตนเอง เพราะคนต่างชาติเป็นเหมือนกิ่งมะกอกเทศป่าซึ่งถูกนำมาติดกับต้นมะกอกบ้าน พวกเขาเป็นหนี้พวกอิสราเอล ไม่ใช่พวกอิสราเอลเป็นหนี้พวกเขา เพราะความรอดนั้นมาจากพวกยิว ทำไมความรอดถึงมาจากพวกยิว (ถามพี่น้อง) ผมคิดว่าเป็นเพราะเปาโลเป็นคนยิวที่นำพระกิตติคุณมาประกาศกับคนต่างชาติ ดังนั้นด้วยความที่เป็นชนชาติเดียวกับเป็นพี่น้องกันเลยไม่อยากจะเห็นคนชาติเดียวกันดูถูก เพราะคนต่างชาติจะสังเกตุได้ว่ามีชาวยิวบางกลุ่มที่ไม่ยอมเชื่อในพระเจ้า คนต่างชาติก็อาจจะดูถูกได้ แต่ด้วยความที่เปาโลนั้นมีความหวังว่าพวกยิวที่ปฏิเสธซักวันจะกลับใจก็เลยไม่อยากจะเห็นคนชาติเดียวกันต้องโดนดูถูก
ดังนั้นแม้ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิเสธพวกยิวบางคน หรือ “การหักกิ่ง” เพื่อเปิดโอกาศให้กิ่งมะกอกเทศป่าได้เข้ามาต่อกับต้น ผู้เชื่อชาวต่างชาติก็ไม่ควรหยิ่งผยอง ที่พวกเขาได้รับโอกาศก็เพราะพระคุณของพระเจ้า
โรม 11 – 20
ในข้อนี้เปาโลเตือนคริสเตียนชาวต่างชาติว่า “อย่าเย่อหยิ่งและจงเกรงกลัว” เปาโลกำลังพูดถึงความบาปของคริสเตียนต่างชาติที่ดูถูกคนยิว เพราะคนต่างชาติอาจจะคิดว่าพวกเขาไม่ได้ทำผิดเหมือนที่พวกยิวปฏิเสธพระเยซูและข่มเหงคริสตจักร
การหักกิ่ง "ชาวย“ว" ออกจากตันมะกอกเทศ ทำให้เกิดช่องว่างที่กิ่งของคนต่างชาติจะเข้าไปต่อกิ่งได้ แต่กระนั้นพระเจ้าก็ยังสามารถต่อกิ่งเก่าเข้าไปได้อีก และการนำกิ่งเก่าเข้ามาต่อเข้ากับต้นเดิมก็เป็นเรื่องที่ง่ายกว่า
โรม 11 – 21 – 22
ในข้อนี้อธิบายถึงความชอบธรรมในการเลือกของพระเจ้า ถ้าพระเจ้าชอบธรรมในการแยกอิสราเอลออกไปเพราะความไม่เชื่อของพวกเขา พระองค์ก็ย่อมจะแยกคนต่างชาติออกไปถ้าพวกเขาอวดดีและเย่อหยิ่งด้วยเช่นเดียวกัน
เปาโลต้องการให้คริสเตียนชาวโรมจดจำทั้งความเมตตาปรานีและความเข้มงวดของพระเจ้า ความเมตตากรุณาของพระเจ้าจะสำแดงผ่านสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อมนุษย์ (รม 2-4 / อฟ 2-7 / ทต 3-4)
ส่วน “ความเข้มงวด” ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะใช้เพื่อสร้างผู้เชื่อให้เข้มแข็งขึ้น ปรับปรุงให้ดีขึ้นไม่ใช่เพื่อทำลาย (2โค 13-10 / ทต 3-4)

โรม 11 – 23 – 24
การตอบสนองของมนุษย์ต่อพระเจ้าจำทำให้เกิดการตอบโต้จากพระเจ้าด้วยพระลักาณะอย่างใดอย่างหนึ่งจากสองอย่างนี้ พระเจ้าทรงเข้มงวดกับชนชาติอิสราเอลเมื่อพวกเขาไม่มีความเชื่อ แต่พระเจ้าก็ทรงพร้อมที่จะนำเอากิ่งเดิมเข้ามาต่อใหม่อีก
ในเมื่อพระเจ้ามีสิทธิและสามารถนำคนต่างชาติมารู้จักกับพระองค์ได้พระองค์ก็ย่อมสามารถนำคนยิวกลับมาสู่ความรอดอีกครั้งได้อย่างแน่นอน และก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
            โดยปกติแล้วคนยิวจะนำกิ่งมะกอกเทศป่ามาต่อเข้ากับมะกอกเทศที่ไม่ออกผลเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ต้นมะกอกเทศออกผลอีกครั้งนึง การตัดกิ่งเก่าๆออกนั้นจำเป็นเพื่อให้กิ่งที่ต่อได้รับอาหารและชีวิต และยังป้องกันไม่ให้ต้นไม้ส่งอาหารไปยังกิ่งที่ไม่เกิดผล (อธิบายในเชิงเปรียบเทียบตนยิวและคนต่างชาติ)
            ความรอดของอิสราเอล (25-32)
            โรม 11 – 25
            เปาโลต้องการให้ผู้อ่านที่เป็นคนต่างชาติรู้ข้อความอันล้ำลึกที่เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลและความรอดที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มนุษย์ จุดประสงค์ของเปาโลคือไม่ต้องการให้พวกอิสราเอลอวดรู้
            แผนการสูงสุดของพระเจ้าที่แยกพวกอิสราเอลออกไปชั่วคราวก็เพื่อแสดงพระคุณแก่คนต่างชาติ แต่ไม่ใช่เพื่อให้คนต่างชาติถือดีและอวดรู้
            พระเจ้าทรงรู้ว่าคนต่างชาติที่จะได้รับความรอดนั้นมีใครบ้างและจำนวนเท่าใด มีความบริบูรณ์สำหรับพวกอิสราเอลก็มีความบริบูรณ์ของคนต่างชาติเช่นเดียวกัน
            ในข้อนี้มีความจริงสองประการเกี่ยวกับความใจแข็งของอิสราเอล ประการแรกคือบางคนเท่านั้นที่ใจแข็ง (คือในทุกยุคทุกสมัยมีพวกที่เหลืออยู่ที่พระเจ้าเลือกด้วยพระคุณ) ประการที่สองคือ เป็นเรื่องชั่วคราว เพราะจะสิ้นสุดเมื่อคนต่างชาติที่พระเจ้าเลือกได้รับความรอดครบจำนวน
            โรม 11 – 26
            คำว่าพวกอิสราเอลทั้งปวงจะได้รับความรอดนั้นไม่ได้หมายความว่าคนยิวทุกคน แต่หมายถึงชนชาติอิสราเอลจะได้รับความรอดผ่านทางกลุ่มคนที่เหลืออยู่
            เปาโลกำลังพูดถึงความสมบูรณ์ในอนาคต เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยังถกเถียงกันอยู่ เพราะว่าจนถึงปัจจุบันนี้คนยิวส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเมสสิยาห์ เปาโลเชื่อว่าการกลับใจของชาวยิวจะเกิดขึ้นเมื่อพระเมสสิบาห์เสด็จกลับมา (ดูอสย 59-20-21 เปรียบเทียบกับ อสย 27-9)
            โรม 11 – 27
            หลังจากที่พิพากษาแล้วพระเจ้าทรงกำจัดอธรรมและความบาปออกไปจากอิสราเอล พระองค์จะตั้งพันธสัญญาใหม่กับอิสราเอลที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ (ดู ยรม. 31-33-34)
            โรม 11 – 28
            ในแง่ของข่าวประเสิรฐ ชาวยิวยังคงเป็นศัตรูกับพระเจ้าเนื่องจากความไม่เชื่อ
            พวกอิสราเอลนั้นเป็นที่รักของพระเจ้าเนื่องจากบรรพบุรุษของเขา ตามพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัม อิสอัคและยาโคบรวมไปถึงชนชาติอิสราเอล


            โรม 11 – 29
            พระประสงค์ของพระเจ้าต้องสำเร็จและเกิดผล พระเมตตากรุณาของพระเจ้าเป็นองค์ประกอบที่จำเป็น
            ของประทานแห่งพระคุณและการทรงเรียกของพระเจ้าทั้งสองเรื่องนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระเจ้าจะไม่เรียกของประทานให้คืนไปหรือละทิ้งคนที่พระองค์เลือกไว้
            โรม 11 – 30 – 31
            พวกผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติ อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องแปลกที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมอนาคตอันเต็มไปด้วยสง่าราศีไว้ให้อิสราเอลทั้งๆที่พวกเขาไม่เชื่อฟังพระองค์ แต่ความไม่เชื่อฟังของพวกยิวนี่เองที่ทำให้คนต่างชาติมีโอกาศได้เข้าแผ่นดินสวรรค์
            โรม 11 – 32
            เปาโลกำลังบอกว่ามนุษย์ทุกคนถูกธรรมบัญญัติล้อมไว้หมดแล้ว ไม่มีทางหนีได้ เพราะทางเดียวที่จะรอดก็โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น
            เปาโลกลับมาเน้นจุดสำคุญของตอนนี้คือ ทุกคนเป็นคนบาป เพื่อพระเจ้าจะสำแดงพระเมตตาต่อทุกคน พระเจ้าทรงเลือกอับราฮัมและลูกหลานของเขาให้เป็นกลุ่มคนพิเศษของพระองค์ ตอนนี้คนยิวที่ไม่เชื่อฟังทำให้พระเจ้าสามารถแสดงพระเมตตาต่อคนต่างชาติได้ เมื่อเป้าหมายนี้สำเร็จแล้ว พระองค์ก็จะแสดงพระเมตตาต่ออิสราเอลทั้งหมด
           
คำสรรเสริญ (ข้อ 33-36)
โรม 11 -33 -36
ข้อ 33-36 เป็นบทเพลงสรรเสริญในพระสติปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้าที่ทรงมีแผนการที่ดีเลิศคือเรื่องความรอด สำหรับคนอิสราเอลและคนต่างชาติ
การพิพากษาหรือการตัดสินใจของพระเจ้านั้นเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้ ไม่มีทางที่มนุษย์จะเข้าใจเหตุผลของพระเจ้าได้และวิธีการของพระเจ้าก็เกินกว่าที่เราจะหยั่งรู้
โรม 11 – 34
ข้อนี้เปาโลคัดมาจากอิสยาห์ 40-13 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้ออกแบบแผนการอันชาญฉลาดของพระองค์
โรม 11 – 35
ข้อนี้เปาโลคัดมาจากโยบ 41-11 ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้ารับผิดชอบต่อพระราชกิจของพระองค์แต่ผู้เดียว พระเจ้ามีสิทธิอำนาจสูงสุด พระองค์เป็นผู้ที่สรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาทั้งมวลต้องรายงานถวาย สรรพสิ่งทั้งหลายควรจะนมัสการพระองค์ พระองค์ไม่จำเป็นต้องตอบแทนใคร เพราะไม่มีใครได้ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระองค์
โรม 11 – 36
ข้อนี้เป็นข้อสรุปของเปาโล ท่านอธิบายเกี่ยวกับพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิด พระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำจุน และพระองค์ทรงเป็นเป้าหมายของทุกสิ่งทุกอย่าง
พระเจ้าเป็นผู้เดียวที่เราสมควรสรรเสริญ (1 คร 8-6) พระเจ้าผู้ทรงสิทธิอำนาจสูงสุดสมควรได้รับคำสรรเสริญจากสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งมวล