1 โครินธ์บทที่ 6
ต่อเนื่องกันเลยกับบทที่แล้วที่พูดถึงการที่คริสตจักรไม่ได้ลงวินัยคนที่ทำผิดบาป
ในบทนี้จะพูดถึงการที่คริสตจักรไม่ได้แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างบุคคล
1 โครินธ์บทที่ 6-1-2-3
การกระทำของคริสตจักรโครินธ์นอกจากจะทำให้การแบ่งแยกรุนแรงมากขึ้นแล้ว
ยังเป็นอุปสรรคต่อพระราชกิจของพระเจ้าท่ามกลางคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียนในโครินธ์อีกด้วย
การที่เปาโลใช้คำว่า
“ท่านไม่รู้หรือว่า” นั้นเป็นการชี้ให้พวกเขาเห็นถึงความจริงที่จะสามารถป้องกันปัญหานี้ได้ รูปแบบการเขียนเช่นนี้มีความนัยว่า
พวกเขาน่าจะรู้เรื่องเหล่านี้ดี
การพูดเช่นนี้เป็นการพูดแทงใจดำคริสตจักรที่ภาคภูมิใจกับความรู้และสติปัญญาของตนเอง
เข้าใจว่าการตัดสินคนอื่นเป็นเรื่องยาก
การที่จะไปบอกว่าคนโน้นทำผิด คนนี้ทำผิดนั้นเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในสังคมไทยกับคนที่สูงอายุกว่าหรืออาวุโสกว่า
มีอำนาจมากหรือรู้สึกเกรงใจ
อยากให้เรามีใจอย่างยอห์นและเปาโลที่กล้าพูดตรงโดยไม่กลัว
พี่น้องครับพระเจ้าตัดสินแม้กระทั่งทูตสวรรค์ที่ทำบาป
(2 เปโตร 2-4) จงมีใจกล้าที่จะพูดกับคนเหล่านั้นที่ทำความผิดบาปเพื่อให้เขากลับใจแต่ถ้าเขายังไม่กลับใจก็ปล่อยให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินเขา
เราไม่ได้พูดเพื่อตอกย้ำซ้ำเติมเขา
แต่เราพูดเพื่อความรอดและความบริสุทธิ์ของเขานั่นเอง
1 โครินธ์บทที่
6-4-5-6-7-8
สิ่งที่เปาโลเป็นกังวลในเรื่องนี้คือผลกระทบของปัญหาต่องานประกาศพระกิตติคุณในโครินธ์
เพราะการฟ้องร้องดังกล่าวนั้นไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย
(ยกตัวอย่างของคริสตจักรที่ขึ้นศาลกัน)
ความโลภของพวกเขาไม่ได้เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า
เปาโลบอกว่าพวกเขาแพ้ก่อนที่จะเริ่มพิจารณาคดีเสียอีก คดีที่คริสเตียนในโครินธ์ฟ้องร้องกันนี้เป็นแค่เรื่องความต้องการที่จะรู้ว่าใครผิดและจะได้รับค่าเสียหายจากพี่น้องเท่าไหร่
และการกระทำดังกล่าวนี้ทำให้พระกายของพระเยซูคริสต์ถูกทำลาย และต้นเหตุของการฟ้องร้องกันก็คือเรื่องเงินนั่นเอง อย่าลืมนะครับพี่น้องว่าซาตานนั้นฉลาดมาก
และซาตานก็รู้ว่าจะใช้อะไรมาเป็นเครื่องมือในการทำลายวิหารของพระองค์
ซาตานรู้ว่าเราแต่ละคนนั้นมีอะไรเป็นจุดอ่อน และเงินก็เป็นสิ่งนึงที่เป็นจุดอ่อน
จงอย่าให้ซาตานใช้สิ่งนี้มาทำลายสายสัมพันธ์ของเราพี่น้องและของคริสตจักร
1 โครินธ์บทที่
6-9-10-11
คนอธรรมจะไม่มีส่วนแบ่งในแผ่นดินของพระเจ้าซึ่งจะมาตั้งอยู่ในอนาคต
เพราะพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระเยซูซึ่งเป็นทายาท
คนอธรรมจะถูกคนชอบธรรมตัดสินตามการกระทำของพวกเขา
กระนั้นธรรมิกชนก็ยังประพฤติตัวไม่ต่างจากคนพวกนั้น เราเป็นคนชอบธรรมเพื่อที่จะได้ทำงานแทนพระเจ้าในการตัดสินคนอื่น
ในการตักเตือนคนอื่น แต่เราเองก็กระทำตังไม่ได้ต่างจากคนเหล่านั้นเลย
ประเภทของความผิดที่ได้บอกไว้ในตอนนี้สอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในทั่วไปของเมืองโครินธ์รวมถึงเมืองใหญ่ๆในสมัยนั้นด้วย
โดยเฉพาะกรณีของรักร่วมเพศและการมีโสเภณีผู้ชายนั้นเป็นลักษณะอย่างนึงในสังคมกรีกโรมัน
พลาโต้ได้พูดถึงพวกรักร่วมเพศในหนังสือของเขาชื่อ The Symposium และจักรพรรดิ์เนโรในสมัยที่เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ก็เกือบแต่งงานกับเด็กผู้ชายที่ชื่อว่าสโปรัส
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกของผู้ปกครองโรมในสมัยนั้น เพราะจักรพรรดิ์ 14 คนใน 15
คนแรกของโรมก็เป็นพวกรักร่วมเพศหรือไม่ก็ร่วมเพศได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
ดงันั้นพวกเขาจึงไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลก
มีบางคนในคริสตจักรโครินธ์มีความผิดตามที่พูดไว้ในข้อ
9-10 แต่ว่าพระเจ้าได้ช่วยพวกเขา พวกเขาได้รับการชำระโดยพระวิญญาณ
และรับการทำให้บริสุทธิ์โดยพระบุตร
รวมทั้งได้รับการทำให้เป็นผู้ชอบธรรมต่อพระพักต์ของพระเจ้า
คริสเตียนไม่ได้รับความบริสุทธิ์ทางเพศ
(12-20)
1 โครินธ์บทที่
6-12
คำว่า “ฉันจะทำอะไรก็ได้” หรือฉบับอื่นๆอาจจะแปลทำนองที่ว่า
“ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้”
นั้นกลายเป็นคำขวัญเพื่อสนับสนุนความประพฤติที่ขาดศีลธรรมของคริสเตียนบางคนในโครินธ์
เปาโลมองว่าเสรีภาพของคริสเตียนควรมีพื้นฐานบนความรักต่อเพื่อนบ้านและต่อตนเอง
เสรีภาพที่ไม่มีประโยชน์และเป็นโทษต่อผู้อื่นนั้นไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนความรัก และคริสเตียนเราไม่ควรที่จะใช้เสรีภาพแบบนั้น
1 โครินธ์บทที่
6-13-14
อาหารมีไว้สำหรับท้องและท้องก็สำหรับอาหารนี้เป็นคำขวัญอีกอย่างนึงที่คริสเตียนในโครินธ์ใช้เป็นข้ออ้างเมื่อทำเรื่องเสื่อมศีลธรรม
พวกเขาให้เหตุผลว่าอาหารเป็นสิ่งที่สร้างความสำราญและเป็นสิ่งที่จำเป็นเมื่อท้องส่งสัญญาณว่าหิว
อาหารก็สามารถดับความอยาก
ดังนั้นพวกเขาจึงโต้แย้งว่าเพศก็เป็นสิ่งที่สร้างความสำราญจึงเป็นสิ่งจำเป็น
และเมื่อร่างกายมีความต้องการทางเพศ พวกเขาก็ดับความอยากนั้น
แต่เปาโลอธิบายว่าร่างกายนั้นหมายถึงทุกส่วนของมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหนังและวิญญาณ
ดังนั้นคำว่าร่างกายในที่นี้จึงไม่ตายแต่ดำรงอยู่นิรันดร์และไม่ได้มีไว้สำหรับการล่วงประเวณี
แต่มีไว้เพื่อความสัมพันธ์กับพระเจ้า
1 โครินธ์บทที่
6-15-17
พระราชกิจของพระวิญญาณมีผลต่อจุดหมายปลายทางของคริสเตียนและจะรวมคริสตจักรเข้าสนิทกับพระคริสต์
คริสเตียนจะกระทำเรื่องเสื่อมเสียศีลธรรมโดยไม่ทำให้พระคริสต์เสียใจได้เหรอ
“ไม่มีทาง”
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างบุคคลสองคนไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องร่างกายเท่านั้น
แต่เป็นการผูกพันระหว่างบุคลิคลักษณะและเชื่อมเขาทั้งสองด้วยกันเป็นหนึ่ง
เปาโลคัดข้อความนี้มาจากปฐมกาล 2-24 ที่ว่า “เขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน”
แต่ข้อความดังกล่าวนี้ไม่ได้หมายความว่าชายคนนั้นไปแต่งงานกับโสเภณี
แต่เปาโลกำลังชี้ให้เห็นถึงความบาปที่เขาทำเรื่องนั้นต่างหาก
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคริสเตียนกับพระคริสต์มีผลต่อทั้งเขาและพระผู้ช่วยให้รอด
และเมื่อคนหนึ่งกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด อีกคนก็จะได้รับผลกระทบจากการกระทำนั้น
1 โครินธ์บทที่
6-18-19-20
คริสเตียนในโครินธ์ควรจะตอบสนองเหมือนโยเซฟ
เมื่อเผชิญกับเรื่องที่ผิดศีลธรรม (ปฐม 39-12) พวกเขาควรจะวิ่งหนี คือ
“จงหลีกเลี่ยงเสียจากการล่วงประเวณี” การล่วงประเวณีนั้นมีลักษณะเฉพาะ
แต่ไม่ใช่ความบาปที่หนักหนาที่สุด (มธ 12-32)
อย่างไรก็ตามบาปนี้ก็มีผลทั้งผู้ที่ทำบาปและผู้ที่เขาเกี่ยวข้อง
นอกจากพระคริสต์จะเสียใจแล้ว
พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสียใจด้วย พระองค์ประทับอยู่ในชีวิตของคริสเตียนทุกคน
และพระเจ้าพระบิดาก็เสียใจด้วย เพราะพระองค์ต้องการได้รับเกียรติ
ไม่ใช่ความอับอายจากผู้ที่พระองค์ทรงซื้อไว้ด้วยราคาสูง
ราคานั้นก็คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น