วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

1 โครินธ์บทที่ 6


            1 โครินธ์บทที่ 6
            ต่อเนื่องกันเลยกับบทที่แล้วที่พูดถึงการที่คริสตจักรไม่ได้ลงวินัยคนที่ทำผิดบาป ในบทนี้จะพูดถึงการที่คริสตจักรไม่ได้แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างบุคคล
            1 โครินธ์บทที่ 6-1-2-3
            การกระทำของคริสตจักรโครินธ์นอกจากจะทำให้การแบ่งแยกรุนแรงมากขึ้นแล้ว ยังเป็นอุปสรรคต่อพระราชกิจของพระเจ้าท่ามกลางคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียนในโครินธ์อีกด้วย
            การที่เปาโลใช้คำว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า” นั้นเป็นการชี้ให้พวกเขาเห็นถึงความจริงที่จะสามารถป้องกันปัญหานี้ได้  รูปแบบการเขียนเช่นนี้มีความนัยว่า พวกเขาน่าจะรู้เรื่องเหล่านี้ดี การพูดเช่นนี้เป็นการพูดแทงใจดำคริสตจักรที่ภาคภูมิใจกับความรู้และสติปัญญาของตนเอง
            เข้าใจว่าการตัดสินคนอื่นเป็นเรื่องยาก การที่จะไปบอกว่าคนโน้นทำผิด คนนี้ทำผิดนั้นเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในสังคมไทยกับคนที่สูงอายุกว่าหรืออาวุโสกว่า มีอำนาจมากหรือรู้สึกเกรงใจ อยากให้เรามีใจอย่างยอห์นและเปาโลที่กล้าพูดตรงโดยไม่กลัว
            พี่น้องครับพระเจ้าตัดสินแม้กระทั่งทูตสวรรค์ที่ทำบาป (2 เปโตร 2-4) จงมีใจกล้าที่จะพูดกับคนเหล่านั้นที่ทำความผิดบาปเพื่อให้เขากลับใจแต่ถ้าเขายังไม่กลับใจก็ปล่อยให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินเขา เราไม่ได้พูดเพื่อตอกย้ำซ้ำเติมเขา แต่เราพูดเพื่อความรอดและความบริสุทธิ์ของเขานั่นเอง


            1 โครินธ์บทที่ 6-4-5-6-7-8
            สิ่งที่เปาโลเป็นกังวลในเรื่องนี้คือผลกระทบของปัญหาต่องานประกาศพระกิตติคุณในโครินธ์ เพราะการฟ้องร้องดังกล่าวนั้นไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย (ยกตัวอย่างของคริสตจักรที่ขึ้นศาลกัน)
            ความโลภของพวกเขาไม่ได้เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า เปาโลบอกว่าพวกเขาแพ้ก่อนที่จะเริ่มพิจารณาคดีเสียอีก คดีที่คริสเตียนในโครินธ์ฟ้องร้องกันนี้เป็นแค่เรื่องความต้องการที่จะรู้ว่าใครผิดและจะได้รับค่าเสียหายจากพี่น้องเท่าไหร่ และการกระทำดังกล่าวนี้ทำให้พระกายของพระเยซูคริสต์ถูกทำลาย และต้นเหตุของการฟ้องร้องกันก็คือเรื่องเงินนั่นเอง อย่าลืมนะครับพี่น้องว่าซาตานนั้นฉลาดมาก และซาตานก็รู้ว่าจะใช้อะไรมาเป็นเครื่องมือในการทำลายวิหารของพระองค์ ซาตานรู้ว่าเราแต่ละคนนั้นมีอะไรเป็นจุดอ่อน และเงินก็เป็นสิ่งนึงที่เป็นจุดอ่อน จงอย่าให้ซาตานใช้สิ่งนี้มาทำลายสายสัมพันธ์ของเราพี่น้องและของคริสตจักร
            1 โครินธ์บทที่ 6-9-10-11
            คนอธรรมจะไม่มีส่วนแบ่งในแผ่นดินของพระเจ้าซึ่งจะมาตั้งอยู่ในอนาคต เพราะพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระเยซูซึ่งเป็นทายาท คนอธรรมจะถูกคนชอบธรรมตัดสินตามการกระทำของพวกเขา กระนั้นธรรมิกชนก็ยังประพฤติตัวไม่ต่างจากคนพวกนั้น เราเป็นคนชอบธรรมเพื่อที่จะได้ทำงานแทนพระเจ้าในการตัดสินคนอื่น ในการตักเตือนคนอื่น แต่เราเองก็กระทำตังไม่ได้ต่างจากคนเหล่านั้นเลย


            ประเภทของความผิดที่ได้บอกไว้ในตอนนี้สอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในทั่วไปของเมืองโครินธ์รวมถึงเมืองใหญ่ๆในสมัยนั้นด้วย โดยเฉพาะกรณีของรักร่วมเพศและการมีโสเภณีผู้ชายนั้นเป็นลักษณะอย่างนึงในสังคมกรีกโรมัน พลาโต้ได้พูดถึงพวกรักร่วมเพศในหนังสือของเขาชื่อ The Symposium และจักรพรรดิ์เนโรในสมัยที่เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ก็เกือบแต่งงานกับเด็กผู้ชายที่ชื่อว่าสโปรัส นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกของผู้ปกครองโรมในสมัยนั้น เพราะจักรพรรดิ์ 14 คนใน 15 คนแรกของโรมก็เป็นพวกรักร่วมเพศหรือไม่ก็ร่วมเพศได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ดงันั้นพวกเขาจึงไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลก
            มีบางคนในคริสตจักรโครินธ์มีความผิดตามที่พูดไว้ในข้อ 9-10 แต่ว่าพระเจ้าได้ช่วยพวกเขา พวกเขาได้รับการชำระโดยพระวิญญาณ และรับการทำให้บริสุทธิ์โดยพระบุตร รวมทั้งได้รับการทำให้เป็นผู้ชอบธรรมต่อพระพักต์ของพระเจ้า
            คริสเตียนไม่ได้รับความบริสุทธิ์ทางเพศ (12-20)
            1 โครินธ์บทที่ 6-12
            คำว่า “ฉันจะทำอะไรก็ได้” หรือฉบับอื่นๆอาจจะแปลทำนองที่ว่า “ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้” นั้นกลายเป็นคำขวัญเพื่อสนับสนุนความประพฤติที่ขาดศีลธรรมของคริสเตียนบางคนในโครินธ์ เปาโลมองว่าเสรีภาพของคริสเตียนควรมีพื้นฐานบนความรักต่อเพื่อนบ้านและต่อตนเอง เสรีภาพที่ไม่มีประโยชน์และเป็นโทษต่อผู้อื่นนั้นไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนความรัก และคริสเตียนเราไม่ควรที่จะใช้เสรีภาพแบบนั้น



            1 โครินธ์บทที่ 6-13-14
            อาหารมีไว้สำหรับท้องและท้องก็สำหรับอาหารนี้เป็นคำขวัญอีกอย่างนึงที่คริสเตียนในโครินธ์ใช้เป็นข้ออ้างเมื่อทำเรื่องเสื่อมศีลธรรม พวกเขาให้เหตุผลว่าอาหารเป็นสิ่งที่สร้างความสำราญและเป็นสิ่งที่จำเป็นเมื่อท้องส่งสัญญาณว่าหิว อาหารก็สามารถดับความอยาก ดังนั้นพวกเขาจึงโต้แย้งว่าเพศก็เป็นสิ่งที่สร้างความสำราญจึงเป็นสิ่งจำเป็น และเมื่อร่างกายมีความต้องการทางเพศ พวกเขาก็ดับความอยากนั้น แต่เปาโลอธิบายว่าร่างกายนั้นหมายถึงทุกส่วนของมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหนังและวิญญาณ ดังนั้นคำว่าร่างกายในที่นี้จึงไม่ตายแต่ดำรงอยู่นิรันดร์และไม่ได้มีไว้สำหรับการล่วงประเวณี แต่มีไว้เพื่อความสัมพันธ์กับพระเจ้า
            1 โครินธ์บทที่ 6-15-17
            พระราชกิจของพระวิญญาณมีผลต่อจุดหมายปลายทางของคริสเตียนและจะรวมคริสตจักรเข้าสนิทกับพระคริสต์ คริสเตียนจะกระทำเรื่องเสื่อมเสียศีลธรรมโดยไม่ทำให้พระคริสต์เสียใจได้เหรอ “ไม่มีทาง”
            ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างบุคคลสองคนไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องร่างกายเท่านั้น แต่เป็นการผูกพันระหว่างบุคลิคลักษณะและเชื่อมเขาทั้งสองด้วยกันเป็นหนึ่ง เปาโลคัดข้อความนี้มาจากปฐมกาล 2-24 ที่ว่า “เขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” แต่ข้อความดังกล่าวนี้ไม่ได้หมายความว่าชายคนนั้นไปแต่งงานกับโสเภณี แต่เปาโลกำลังชี้ให้เห็นถึงความบาปที่เขาทำเรื่องนั้นต่างหาก
            ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคริสเตียนกับพระคริสต์มีผลต่อทั้งเขาและพระผู้ช่วยให้รอด และเมื่อคนหนึ่งกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด อีกคนก็จะได้รับผลกระทบจากการกระทำนั้น


            1 โครินธ์บทที่ 6-18-19-20
            คริสเตียนในโครินธ์ควรจะตอบสนองเหมือนโยเซฟ เมื่อเผชิญกับเรื่องที่ผิดศีลธรรม (ปฐม 39-12) พวกเขาควรจะวิ่งหนี คือ “จงหลีกเลี่ยงเสียจากการล่วงประเวณี” การล่วงประเวณีนั้นมีลักษณะเฉพาะ แต่ไม่ใช่ความบาปที่หนักหนาที่สุด (มธ 12-32) อย่างไรก็ตามบาปนี้ก็มีผลทั้งผู้ที่ทำบาปและผู้ที่เขาเกี่ยวข้อง
            นอกจากพระคริสต์จะเสียใจแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสียใจด้วย พระองค์ประทับอยู่ในชีวิตของคริสเตียนทุกคน และพระเจ้าพระบิดาก็เสียใจด้วย เพราะพระองค์ต้องการได้รับเกียรติ ไม่ใช่ความอับอายจากผู้ที่พระองค์ทรงซื้อไว้ด้วยราคาสูง ราคานั้นก็คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

1 โครินธ์บทที่ 5


            1 โครินธ์บทที่ 5

1 โครินธ์บทที่ 5-1-2

            บทที่ 5 และบทที่ 6 นี้จะพูดเจาะจงลึกลงไปในรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรที่โครินธ์ครับผม เปาโลนั้นรักพี่น้องในคริสตจักรโครินธ์แต่เขาก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องลงวินัยพวกเขา ลงวินัยก็คือการลงโทษนั่นเองนะครับ เปาโลเขียนเกี่ยวกับปัญหาบางอย่างในคริสตจักร เช่นการที่พวกเขาไม่ได้ลงโทษพี่น้องที่ทำผิด ซึ่งในบทที่ 5 จะเน้นในเรื่องนี้ การแก้ไขความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างพี่น้องและการรักษาความบริสุทธิ์ทางเพศ ทั้งสองเรื่องหลังนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในบทที่ 6 ครับ

            เป็นเรื่องที่เปาโลเป็นห่วงมากก็คือเมื่อมีพี่น้องในคริสตจักรทำความผิดแต่คริสตจักรกลับไม่ได้ลงวินัยคนที่ทำผิดนั่น

            เช่นกันครับว่าเปาโลก็กลัวว่าพี่น้องจะติดนิสัยที่ไม่ดี ติดนิสัยที่เป็นความบาป เปาโลเตือนพี่น้องด้วยความรัก เพราะกลัวว่าถ้ายังติดวิสัยบาปอยู่แบบนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงแผ่นดินสวรรค์เลย ไม่มีทางได้ขึ้นแน่ๆ และที่สำคัญเลยก็คือคริสตจักรละเลยที่จะลงวินัยหรือตักเตือนพี่น้องนั่นเอง ทำไมคริสตจักรถึงได้ละเลยที่จะลงวินัยพี่น้องล่ะ เพราะความหยิ่งไง ความเย่อหยิ่งนั้นตรงกันข้ามกับความรัก ความเย่อหยิ่งมันทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ความเย่อหยิ่งของคริสเตียนชาวโครินธ์ไม่ได้ทำให้เกิดการแตกแยกเท่านั้น แต่มันยังทำให้เกิดความเฉยชาและความเต็มใจที่จะลงวินัยเพื่อตักเตือนพี่น้อง

            แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในคริสตจักรโครินธ์ล่ะ ในข้อที่ 1 บอกว่า “มีคริสเตียนชาวโครินธ์คนหนึ่งล่วงประเวณีกับแม่เลี้ยงของตนเอง แค่คิดด้วยสามัญสำนึกทั่วๆไปของมนุษย์ก็ยังรู้เลยว่ามันเป็นความผิด แต่ว่านี้มันเป็นการกระทำที่เป็นเรื่องต้องห้ามในพระคัมภีร์เดิม (ลนต 18.18 / ฉธบ 22.22) ซึ่งข้อห้ามพวกนี้คริสเตียนน่าจะรู้ดีที่สุด แถมมันยังเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฏหมายโรมอีกด้วย เปาโลคงอยากจะถามว่า “นี่หรือคือคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน เป็นสาวกของพระเจ้าน่ะ”

            แต่เรื่องน่าอายเช่นนี้ที่มีคนนึงไปล่วงประเวณีกับแม่เลี้ยงของตนเองไม่ได้ทำให้คริสเตียนในโครินธ์รู้สึกอะไรเลย เรื่องดังกล่าวนี้กลับทำให้พวกเขาเย่อหยิ่งมากขึ้น ทั้งๆที่การตอบสนองที่ถูกต้องควรจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทน เพราะในหนังสือกาลาเทียบทที่ 6-1-2 ได้กล่าวไว้ว่า (อ่าน) เพราะถ้าอวัยวะหนึ่งเจ็บ อวัยวะทุกส่วนของร่างกายก็เจ็บด้วย  ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทุกส่วนก็ร่วมฉลองด้วย ดังที่กล่าวไว้ใน 1 โครินธ์บทที่ 12-26

            และที่แน่ๆเลยก็คือควรที่จะลงวินัยคนนั้นโดยตัดเขาออกจากคริสตจักรจนกว่าเขาจะกลับใจ ดังที่ได้กล่าวไว้ในมัทธิวบทที่ 18-15-17

            1 โครินธ์บทที่ 5-3-5
            เมื่อคริสเตียนชาวโครินธ์เพิกเฉยกับเรื่องเช่นนี้ เปาโลจึงรู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่าง เพราะในฐานะที่เขาเป็นอัครทูตเขาจึงมีสิทธิตัดสินลงโทษผู้ที่ทำผิดได้ และเขาก็ขอให้คริสตจักรจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้ในการประชุมครั้งต่อไป เปาโลต้องการให้ชายคนนี้ออกจากคริสตจักร ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการออกจากการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้าที่เขาได้รับเพื่อให้เขาได้ออกไปสู่สนามสู้รบแห่งโลกนี้ที่ซาตานจะฆ่าเขา ซึ่งเหมือนกับในหนังสือ 1 ทิโมธีบทที่ 1-20 (อ่าน) และนี่ก็จะเป็นตัวอย่างที่เจ็บปวดของการเพิกเฉยที่เห็นแก่ตัว และบทเรียนที่เตือนสอนเรื่องความบริสุทธิ์ของพระวิหารแห่งพระเจ้า      

            อย่างไรก็ตามมันมีปัจจัยหลายประการที่อาจจะหมายถึงการลงวินัยแบบอื่นด้วย เราไม่แน่ใจว่าการลงวินัยแบบอื่นจะเป็นยังไง แต่ไม่ว่าจะเป็นการลงวินัยแบบไหนก็ตามล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเดียวกันก็คือเพื่อรักษาความรอดของบุคคลนั้นไว้และเพื่อความบริสุทธิ์ของคริสเตียนผู้นั้นนั่นเอง

            1 โครินธ์บทที่ 5-6
            คริสเตียนในโครินธ์ไม่มีข้อแก้ตัวต่อพฤติกรรมที่น่าสมเพชของพวกเขา เปาโลเตือนพวกเขาถึงความจริงที่พวกเขารู้แล้วแต่ไม่ได้ทำตาม นั่นคือ “เชื้อขนมเพียงนิดเดียวย่อมทำให้แป้งดิบฟูทั้งก้อน”  เพราะโรคเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้คนตายได้ ดังนั้นคริสตจักรจึงจำเป็นต้องลงวินัยคนที่ทำผิดด้วยพื้นฐานเดียวกันนั้น ก่อนที่ความบาปมันจะลามไปทั่วคริสตจักร

            1 โครินธ์บทที่ 5-7-8
            เช่นเดียวกับที่ชาวยิวกำลังกำจัดเชื้อขนมออกจากบ้านในช่วงเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ (ถาม)ความบาปก็ควรที่จะถูกชำระออกจากพระนิเวศของพระเจ้าเช่นกัน

Matzah คือ ขนมปังไร้เชื้อในภาษาฮีบรู
เทศกาลขนมปังไร้เชื้อคืออะไร
อพยพ 12:15-20 และอพยพ 12:31-39 อธิบายถึงเทศกาลนี้อย่างชัดเจน
            ขณะที่เทศกาลปัสกาเป็นเทศกาลที่พระเจ้าประทานไว้ให้โดยเฉพาะเพื่อระลึกถึงภัยพิบัติของลูกหัวปี และการได้รอดพ้นจากพัยนั้นโดยความเชื่อวางใจในเลือดของลูกแกะปัสกา เทศกาลขนมปังไร้เชื้อก็เป็นเทศกาลที่พระเจ้าทรงประทานให้โดยเฉพาะเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์จริงของการอพยพ หรือ สภาพการณ์ที่คนอิสราเอลออกจากอียิปต์ นี่คือเหตุผลว่า ทำไมจึงมีการฉลองเทศกาลนี้มาตลอดหลายชั่วอายุคน เพื่อจะระลึกถึงความรีบเร่งของการหนีออกมาจากอียิปต์นั่นเอง

เทศกาลขนมปังไร้เชื้อกระทำเมื่อใด
เลวีนิติ 23:6-8 เทศกาลนี้จัดขึ้นวันที่ 15 เดือน นิสาน คือวันหลังจากเทศกาลปัสกา 7 วัน เทศกาลนี้ฉลองร่วมกันกับปัสกาเพราะว่าเป็นเวลาที่ใกล้กันมาก

ผู้เชื่อในพระเยซูสามารถเรียนรู้อะไรจากเทศกาลขนมปังไร้เชื่อ

มี 3 สิ่ง ที่เราสามารถเรียนจากเทศกาลนี้ได้
1. เทศกาลขนมปังไร้เชื้อเปิดเผยถึงการพักผ่อนที่สมบูรณ์ในพระเยซู
ผู้เชื่อในพระเยซูต้องพักพิงอย่างเต็มที่พบพระราชกิจการไถ่อันสูงสุดของพระเยซูซึ่งทรงกระทำบนไม้กางเขนและไม่พยายามให้ได้มาซึ่งความรอดด้วยวิธีอื่นใด

ยิ่งกว่านั้น เทศกาลนี้เป็นช่วงเวลาการเฉลิมฉลอง 7 วัน ซึ่งพวกเขาจะกินแต่ขนมปังไร้เชื้อเท่านั้น เลขเจ็ดมีความหมายถึงความเต็มและความสมบูรณ์ เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการแยกอย่างเด็ดขาดจากสิ่งทั้งปวงที่มีเชื้อ เพื่อจะรับประทานจากพระเยซู ผู้ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต

2. เทศกาลขนมปังไร้เชื้อเปิดเผยถึงพระเมสสิยาห์ผู้ทรงทนทุกข์
ขนมปังไร้เชื้อนี้ (matzah) โดยตัวของมันเองเปิดเผยถึงพระเมสสิยาห์ใน 3 ด้าน
2.1 เปิดเผยถึง คำพยากรณ์ที่อ้างถึงพระเมสสิยาห์ว่าเป็นอาหารแห่งชีวิต
พระเยซูทรงบังเกิดในเบธเลเฮม คำนี้ หมายถึง บ้านขนมปัง ไม่น่าประหลาดใจเลยว่าตลอดการทำพันธกิจของพระเยซู พระองค์ทรงประกาศว่า เราเป็นอาหารแห่งชีวิต
· อับราฮัมถวายขนมปังไร้เชื้อ 3 ก้อน ให้แก่พระเจ้า (ปฐมกาล 18)
· อิสราเอลได้รับการเลี้ยงดูด้วยขนมปังจากสวรรค์ (มานา) เป็นเวลา 40 ปี (อพยพ 16)
· การถวายธัญบูชาด้วยแป้งผสมเชื้ออย่างดีกับน้ำผึ้ง ถูกห้ามไม่ให้นำไปอบ (เลวีนิติ 2)
· ในวิสุทธิสถานในพลับพลาของโมเสส มีขนมปัง 12 ก้อน สำหรับปุโรหิตวางอยู่บนโต๊ะ
ขนมปังหน้าพระพักตร์
·         ทูตสวรรค์ของพระเจ้ายอมรับการถวายเครื่องบูชาด้วยขนมปังไร้เชื้อของกิเดโอน
 ขนมปังแห่งการทนทุกข์” ( ฉธบ. 16:3 ) พระเยซูได้ถูกเปิดเผยไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ ในพระคัมภีร์ใหม่ เราเห็นพระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิต ดังที่กล่าวกันว่า พระคัมภีร์เดิมถูกเปิดเผยในพระคัมภีร์ใหม่

2.2 เปิดเผยถึงการทำให้คำพยากรณ์เรื่องพระเมสสิยาห์สำเร็จ
นับจากการโบราณ ขนมปังนั้นจะนำไปปิ้งบนเตาปิ้ง ซึ่งทำให้ขนมปังเกิดรอยเป็นลายทาง โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ทรงรักษาเราให้หาย” (อสย. 53:5) และเนื่องจากเป็นขนมปังกรอบ จึงใช้ของแหลมแทง เพื่อจะไม่ให้เกิดฟองอากาศและแตกออก การทำเช่นนี้ทำให้ระลึกถึงพระคำ อิสยาห์ 53:3 ด้วยว่า พระองค์ทรงถูกแทงเพื่อการล่วงละเมิดของเราทั้งหลาย
ในยุคสุดท้าย คนยิว จะมองดูพระองค์ผู้ที่เราได้แทง และร้องไห้คร่ำครวญเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาและปรากฎพระองค์ต่อโลก (ศคย. 12:10 และ ยอห์น 19:37)

3. เทศกาลขนมปังไร้เชื้อเปิดเผยให้เราเห็นความจำเป็นที่เราต้องกำจัดเชื้อที่อยู่ภายในเรา
ขนมปังไร้เชื้อในการถวายของปุโรหิตเพื่องานการปรนนิบัติ (เลวีนิติ 8:2,26; อพย. 29:2,23) และร่วมกับการปฏิญาณตนแยกตัวเป็นนาคีร์ (กันดารวิถี 18:1-12)
เชื้อเป็นสัญลักษณ์ถึงความเสื่อมทรามทางศีลธรรม เพราะแป้งชิ้นเล็ก ๆ ที่หมักเชื้อไว้ สามารถทำให้แป้งทั้งหมดเสียไปได้

พระเยซูและเปาโลกล่าวถึงเชื้อ 5 ชนิดที่เราต้องหลีกเลี่ยงเพื่อเราจะเป็นคนที่แยกตัวถวายแด่พระเจ้าได้
1. เชื้อของเฮโรด (มาระโก 8:15 ; 6:14-28) วิถีของโลก
2. เชื้อของพวกฟาริสี (มัทธิว 16:6-12 ; ลูกา 12:1) ความหน้าซื่อใจคด
3. เชื้อของพวกสะดูสี (มัทธิว 16:6-12) ความไม่เชื่อ
4. เชื้อของพวกโครินธ์ (1 คร. 5:1-13) การทำตามความปรารถนาของเนื้อหนัง
5. เชื้อของพวกกาละเทีย (กาละเทีย 5:9) การถือกฎบัญญัติเกินควร

            1 โครินธ์บทที่  5-9-10-11
            เปาโลเรียกร้องให้คริสตจักรลงโทษคนภายใน ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องคริสเตียนหรือคนที่มีส่วนในคริสตจักร การลงวินัยคนเช่นนี้คือการที่สมาชิกไม่คบหาเขา เช่น ไม่ให้เขาเข้าร่วมพิธีมหาสนิท เพราะเชื่อว่าคนที่ทำผิดอาจจะยังมาร่วมประชุมคริสตจักรอยู่ แต่เขาจะรู้สึกผิดและกลับใจ

            1 โครินธ์บทที่  5-12-13
            ไม่ใช่หน้าที่ของเปาโลที่จะไปตัดสินลงโทษคนภายนอกคริสตจักร เพราะถ้าสังเกตุให้ดีตั้งแต่ข้อ 1-13 นี้ เปาโลไม่ได้พูดถึงการลงโทษสำหรับผู้หญิงเลย ทำให้เราสามารถเดาได้ว่าผู้หญิงคนดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นคริสเตียนนั่นเอง คริสเตียนในโครินธ์เองก็ไม่มีสิทธ์ที่จะทำเช่นนั้น เพราะการลงวินัยภายในคริสตจักรเป็นความรับผิดชอบของพวกเขา และพระเจ้าจะตัดสินลงโทษคนภายนอก โดยให้ชายผู้หนึ่งที่พระองค์ทรงแต่งตั้งซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์เจ้า (กิจการ 17-31) แต่คนที่อยู่ในคริสตจักรแล้วยังทำบาปอย่างต่อเนื่องและไม่กลับใจนั้น คริสตจักรต้องไม่คบหากับเขา

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Romans 10


                                2.การปฏิเสธนำสู่การไร้ความเชื่อ (10-1-15)
            โรม 10 - 1
ในตอนต้นของบทที่ 9 เปาโลพูดถึงภาระใจของท่านต่อความรอดของพวกอิสราเอล เมื่อกล่าวถึงความจริงที่ว่าอิสราเอลสะดุดในข้อที่แล้ว เปาโลก็อธิบายเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงสะดุด เปาโลยืนยันความรักของท่านต่อพี่น้องร้วมชาติอย่างชาญฉลาด ก่อนที่ท่านจะขยายความในหัวข้อความผิดพลาดของคนอิสราเอล
            คำว่า “พี่น้อง” มาจากคำภาษากรีกสองคำ คำนึงหมายถึง “อันหนึ่งอันเดียวกัน” ส่วนอีกคำคือ “ครรถ์” เปาโลกำลังบอกว่าตัวท่านและพวกยิวเป็นพี่น้องที่มาจากพ่อแม่เดียวกัน
            แม้ท่านจะเขียนถึงความล้มเหลวของพวกเขา แต่ท่านก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขา ความปราถนาของเปาโลที่อยากจะเห็นคนยิวได้รับความรอดปรากฏอย่างชัดเจนเมื่อเปาโลพยายามนำพระกิตติคุณมาประกาศกับพวกยิวก่อน ซึ่งจะเห็นได้จากหนังสือกิจการ
            โรม 10 – 2
            เปาโลยืนยันว่าท่านเข้าใจความกระตือรือร้นของชาวยิวในเรื่องพระเจ้าเพราะท่านเองก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน และก็เคยเป็นผู้นำในการข่มเหงคริสเตียนเพราะคิดว่าพวกเขาเป็นพวกที่ทรยศต่อพระเจ้าและต่อบรรพบุรุษของอิสราเอล แต่อย่างไรก็ตามในข้อนี้ท่านได้กล่าวว่าความกระตือรือร้นของพวกยิวนั้น หาได้เป็นตามปัญญาไม่ คือไม่ได้ตั้งอยู่บนความรู้ที่ถูกต้อง พวกเค้ามีความร้อนรนจริง แต่เป็นความร้อนรนทำไปในแนวทางที่ผิด อิสราเอลถูกเรียกว่าเป็นพวกมัวเมาพระเจ้า คนยิวมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าแต่ไม่ใช่ความรู้ที่สมบูรณ์ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สะดุดพระเยซูและแสวงหาความชอบธรรมโดยการประพฤติ

            โรม 10 – 3
            พวกยิวนั้นไม่เข้าใจความชอบธรรมที่แท้จริงที่มาจากพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามสร้างความชอบธรรมของพวกเขาขึ้น พวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า ความชอบธรรมที่เปาโลได้กล่าวถึงในบทที่ 3-8 นั้นมีลักษณะตรงข้ามกับความชอบธรรมในรูปแบบที่ชาวยิวกำลังเข้าใจและปฏิบัติอยู่ คนยิวนั้นไม่เข้าใจเรื่องความชอบธรรมของพระเจ้า และนี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงพยายามตั้งความชอบธรรมของตนขึ้น จึงไม่น่าสงสัยเลยที่พวกเขาไม่ยอมรับความชอบธรรมที่พระเจ้าเตรียมไว้ในทางพระเยซูโดยความเชื่อ
            ผลผลิตของการตั้งความชอบธรรมขึ้นเองก็คือการตีความธรรมบัญญัติตามความคิดของตนเอง พวกยิวไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาปฏิบัติตามข้อความในหนังสือ “มิชนาร์” และหนังสือ “ทอลมุด” ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนโดยพวกธรรมาจารย์เพื่ออธิบายว่าคนยิวจะปฏิบัติตัวอย่างไนในแต่ละกรณี และคำอธิบายเหล่านี้ไม่ถูกต้องตรงเจตนารมณ์ของธรรมบัญญัติ และนี่ก็คือความชอบธรรมที่พวกเขาสร้างขึ้นเอง
            โรม 10 – 4
            ข้อนี้จึงหมายความว่าพระเยซูทรงเป็นเป้าหมายหรือเป็นจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นจุดประสงค์ที่ธรรมบัญญัติมุ่งไปถึง พระคริสต์เป็นเหตุให้เราตระหนักว่าธรรมบัญญัติไม่ได้เป็นทางนำสู่ความชอบธรรม และการทำความดีไม่ได้ทำให้เราเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า ธรรมบัญญัติเป็นตัวบ่งชี้ให้เรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนชอบธรรมและจำเป็นต้องพึ่งพระคริสต์
           

พระองค์มอบชีวิตของพระองค์เพื่อเป็นค่าไถ่บาปสำหรับโทษบาปและการฝ่าฝืนธรรมบัญญัติของมนุษย์ ธรรมบัญญัติชี้ไปที่พระองค์ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นแหล่งของความชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้ คนยิวที่รักพระเจ้า ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า จะเชื่อในพระเยซูคริสต์และรับความชอบธรรมจากพระเจ้า ส่วนคนยิวที่แสวงหาความชอบธรรมของตัวเองด้วยการประพฤติมักจะมองไม่เห็นว่าพระเยซูคริสต์ว่าเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติและพวกเขาก็สะดุดพระองค์
โจม 10 – 5
ในข้อนี้เปาโลพูดถึงการได้รับความชอบธรรมของคนยิวโดยการใช้ธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ทรงประทานแก่โมเสสในเลวีนิติ 18-5 ซึ่งเรียกร้องให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ดังที่ปรากฏอยู่ในกฏเกณฑ์และข้อกำหนดต่างๆของพระองค์ โมเสสกล่าวว่าบุคคลที่ประพฤติตามพระบัญญัติจะ “ได้ชีวิตโดยการประพฤตินั้น”
พวกยิวนั้นเข้าใจว่าการถือรักษาพระบัญญัติจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาใช้เลวีนิติ 18-5 มาสนับสนุนความคิดของพวกเขา แต่อย่างไรก็ตามเนื้อหาที่โมเสสเขียนนี้เป็นช่วงเวลาที่เขากำลังสอนชนชาติอิสราเอลให้ดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรม ตรงข้ามกับบรรดาคนนอกศาสนาที่ไร้ศีลธรรมที่แวดล้อมพวกเขาในเวลานั้น นั่นแสดงว่าพวกยิวตีความหมายของโมเสสผิดไป
เปาโลกล่าวถึงความตรงข้ามของการแสวงหาความชอบธรรมด้วยการประพฤติ เพื่อแสดงให้เห็นพระคุณของพระเจ้าที่ประทานความชอบธรรมให้มนุษย์ผ่านทางพระคริสต์โดยความเชื่อ ถ้าคนยิวได้รับความชอบธรรมด้วยการประพฤติตามพระบัญญัติ ความชอบธรรมก็จะเป็นแค่ความสำเร็จของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าประทานให้

โรม 10 – 6 – 7
ในสองข้อนี้เปาโลได้ใช้ข้อความหลายตอนจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ 30-12-14 เพื่อแสดงว่ามนุษย์ไม่สามารถทำให้ตัวเองเป็นคนชอบธรรมได้ คำว่า”ไม่มีผู้ใดสามารถขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อนำพระคริสต์ลงมา” หมายความว่าการที่พระคริสต์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า และคำว่า “ใครจะลงไปยังที่ลึก” ในข้อที่ 7 นี้ หมายถึงความตายและหลุมฝังศพ ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติโมเสสใช้คำว่า “ทะเล” แต่เปาโลใช้คำว่า “ที่ลึก” ใครกันที่จะลงไปในหลุมฝังศพและสามารถทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา
เปาโลกล่าวเปรียบเทียบอย่างนี้เพื่อจะบอกว่าจะได้รับความชอบธรรมได้อย่างไร ซึ่งคำตอบอยู่ในข้อ 8 ครับ
โรม 10 – 8
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเปาโลได้คัดข้อความมาจากเฉลยธรรมบัญญัติ 30-12-14 ซึ่งเป็นหนึ่งในคำสั่งของโมเสสต่ออิสราเอลในยุคนั้นก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่คานาอัน พระเจ้าสัญญาว่าจะอวยพรแก่คนที่มีความเชื่อและเชื่อฟัง และจะทรงลงโทษคนที่ปฏิเสธและคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า
เมื่อเปาโลบอกว่าถ้อยคำนั้นอยู่ใน “ปาก” และ “ใจ” ท่านกำลังพูดถึงความเชื่อ ซึ่งท่านจะได้อธิบายต่อไปในข้อ 9 ซึ่งก็พูดถึงปากและใจด้วย
โรม 10 – 9 - 10
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าพระคัมภีร์สองข้อนี้พูดถึงขั้นตอนที่นำไปสู่ความรอด เปาโลได้อธิบายในข้อ 9 ว่าสิ่งที่ทุกคนจะต้องกระทำเพื่อให้ได้รับความรอดคือ “รับด้วยปากและเชื่อในจิตใจ”
คำว่า “รับ” ในภาษากรีกนั้นมีความหมายว่า “สารภาพ” และเป็นการยอมรับอย่างเปิดเผยด้วย การสารภาพด้วยปากว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้านั้นคือเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความเป็นคริสเตียน (ดู ฟป.2-11 + 1 คร. 12-3) การยอมรับด้วยปากไม่ได้หมายถึงแค่การสารภาพว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย แต่ยังหมายถึงการเชื่อฟังและการยอมจำนนต่อพระองค์อีกด้วย
เชื่อในจิตใจ หมายถึงความเชื่อมั่นและเกี่ยวข้องกับความเต็มใจและการอุทิศตัว จุดเริ่มต้นของความเชื่ออยู่ที่จิตใจ คำว่า “จิตใจ” ในภาษากรีกไม่ได้หมายถึงหัวใจ แต่หมายถึงจุดศูนย์กลางในความคิดและความรู้สึกของมนุษย์
ผลของการรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจเป็นความรอดที่แท้จริง คำว่า “ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม” แปลตรงตัวว่าความเชื่อนำไปสู่ความรอด
การยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด แปลตรงตัวว่า “การสารภาพนำไปสู่ความรอด” ขั้นตอนทั้งสองนี้ไม่ได้เป็นขั้นตอนที่แยกกัน ทั้งสองขั้นตอนต้องดำเนินไปพร้อมกัน ความรอดมาจากการยอมรับว่าพระเยซูคริสต์คือพระเจ้าและเชื่อในพระองค์ การยอมรับด้วยปากสำคัญเท่ากับความเชื่อในจิตใจ ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้และเป็นสิ่งที่จะนำเราไปสู่ความรอด
โรม 10 – 11
เปาโลหยิบยกเอาข้อความจากพระธรรมอิสยาห์ 28-16 มากล่าวอีกครั้งนึงในตอนนี้ และก่อนหน้านี้ในโรม 9-33 เปาโลก็ได้อ้างอิงอิสยาห์ 28-16 ด้วยเช่นกัน
คำว่า “ไม่ได้รับความอับอาย” หมายถึงการพิพากษา (อสย 50-7-8) คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูจะไม่ได้รับการพิพากษา และเปาโลยกเอาข้อความในหนังสืออิสยาห์มาเป็นเหตุผลว่า
“เพราะว่าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ขายหน้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟและข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้อาย เพราะพระองค์ผู้ทรงแก้แทนข้าพเจ้าก็ทรงอยู่ใกล้ ใครจสู้คดีกับข้าพเจ้า ก็ให้เรายืนอยู่ด้วยกัน ใครเป็นปฏิปักษ์ของข้าพเจ้า ก็ให้เขามาใกล้ข้าพเจ้า
โรม 10 – 12
ไม่ทรงถือว่าต่างกัน หมายความว่า ทั้งยิวและต่างชาติเป็นคนบาปเหมือนกัน (รม.3-23) ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการความรอดเหมือนกันซึ่งจะได้มาโดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น
เปาโลกล่าวว่าพระเจ้าองค์นี้เป็นพระเจ้าของคนทั้งปวง และทุกคนที่ทูลขอต่อพระองค์จะได้รับพระราชทานอย่างบริบูรณ์ ในข้อนี้เปาโลกำลังพูดถึงพระพรที่พระเจ้าจะทรงประทานให้แก่ผู้ที่ได้รับความรอด (เอเฟ 1.3)
โรม 10 – 13
ข้อความในพระคัมภีร์ตอนนี้นำมาจากโยเอล 2.32 ซึ่งเปโตรเองก็เคยอ้างอิงข้อความนี้เมื่อท่านลุกขึ้นเทศนาให้คนมากมายฟังในวันเพนคศเต ประตูแห่งความรอดได้เปิดไว้สำหรับทุกคนแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธไม่ยอมรับผู้ที่พระเจ้าได้ทรงส่งมาก็ตาม (กจ 2-21)
คำว่า “ร้องออกพระนาม” หมายถึงการอธิษฐานขอความรอดด้วยความเชื่อ (กจ 3-16) ความรอดที่พระคริสต์ประทานให้นั้น มีผลทั้งในปัจจุบันและนิรันดร์กาล (ยน 5-24 / 10-28-29 / รม 8-32-39 / ฮบ 11-1)


โรม 10 – 14
ข้อ 14 – 15 เปาโลได้เปลี่ยนเรื่องจากความรับผิดชอบของบุคคลมาเน้นที่ผู้เชื่อจะต้องมีแผนงานของพระเจ้าในการช่วยเหลือผู้หลงหลงหาย ข้อความในตอนนี้มีความสละสลวยมากตอนนึงในพระคัมภีร์ แต่ละคำถามจะสอดคล้องเชื่อมโยงไปยังคำถามต่อไป คำถามทั้งหมดนี้มาเป็นขั้นตอน ย้อนลำดับจากท้ายสุดขึ้นไปจนถึงคำถามแรก และทั้งหมดนี้คือขั้นตอนที่จะช่วยให้บุคคลได้รับความรอด
ขั้นแรก – ต้องมีคนที่ถูกส่งออกไปประกาศพระกิตติคุณ คือใครสักคนนึงที่ถูกส่งออกไปกล่าวเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ เหมือนที่เปาโลถูกส่งมาบอกเล่าข่าวประเสริฐแก่ชาวโรมและเมืองอื่นๆ
การถูกส่งออกไปทำให้เห็นองค์ประกอบสองอย่าง อย่างแรก บุคคลผู้ถูกส่งไปนั้นอยู่ภายใต้ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเขา และข่าวสารที่เขาประกาศนั้นมิได้เกิดจากความคิดหรือความปราถนาของเขาเอง
ขั้นที่สอง – ต้องมีการประกาศพระกิตติคุณ การแจ้งข่าวสารให้ทราบ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะบนธรรมาสน์เท่านั้น ดังนั้นคริสเตียนทุกคนสามารถแจ้งข่าวสารเกี่ยวกับพระกิตติคุณให้คนอื่นทราบได้
ขั้นที่สาม – มีผู้ได้ยินพระกิตติคุณ คำภาษากรีกของคำว่าพระกิตติคุณคือ “ข่าวดีหรือสิ่งดี” เพราะคำว่า “ได้ยิน” ในภาษากรีกไม่ได้มีความหมายแค่การได้ยิน แต่หมายถึงการได้ฟังเนื้อหาสาระจนเกิดความเข้าใจ ดังนั้นการประกาศจึงเป็นการอธิบายถึงเรื่องราวการมาเกิด พระราชกิจ การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเบซู เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ
ขั้นสุดท้าย – บังเกิดความเชื่อขึ้นก่อนที่จะร้องทูลขอความรอดจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อคนใดคนหนึ่งเชื่อในพระเยซูคริสต์เขาก็จะทูลขอต่อพระองค์
โรม 10 – 15
ข้อพระคัมภีร์นี้อ้างอิงมาจากอิยาห์ 52-7 อิสยาห์เขียนข้อความนี้เพื่อบรรยายถึงผู้นำข่าวสารไปประกาศกับคนยูดาห์ว่าการตกเป็นเชลยของพวกเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว เปาโลได้นำคำกล่าวนี้มาใช้กับชาวยิวผู้ซึ่งได้รับพระกิตติคุณในยุคของท่าน
เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆหนอ ผู้ฟังของเปาโลคงแปลกใจที่ท่านพูดถึงเท้าที่งดงาม แต่สิ่งที่เปาโลกำลังจะบอกก็คือเท้านั้นเป็นอวัยวะที่งดงามเพราะมันเป็นพาหะในกานำข่าวประเสริฐแห่งความรอดมาถึงคนบาป
โรม 10 – 16
เรื่องน่าเศร้าเกี่ยวกับการประกาศพระกิตติคุณปรากฏอยู่ในข้อ 16 นี้เองคือ “ไม่ใช่ทุกคนได้เชื่อฟัง” คำในภาษากรีกหมายถึง “การฟังด้วยความรู้สึกและตอบสนองในทางบวก” จากนั้นเปาโลก็ยกคำของอิสยาห์มากล่าวไว้ว่า “ใครเล่าได้เชื่อในสิ่งที่เข้าได้ยินจากเราทั้งหลาย” พวกยิวไม่ยอมตอบสนองต่อข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยของพระเยซูและในสมัยของเปาโลด้วย

โรม 10 – 17 - 18
เปาโลได้สรุปสิ่งที่ท่านกล่าวไปก่อนหน้านี้ไว้ในข้อนี้ “ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน”  และ “การได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์” แปลได้ว่า การได้ยินเกิดจากการป่าวประกาศและเนื้อหาของการป่าวประกาศก็คือพระเยซู
เปาโลได้ตั้งคำถามดักหน้าผู้อ่านของท่านคือ “เขาทั้งหลายไม่ได้ยินเหรอ” หมายความว่าชาวยิวไม่มีโอกาศได้ยินพระกิตติคุณหรือ แต่เปาโลก็ตอบคำถามนี้ว่า “เขาได้ยินแล้วจริง”
หนังสือโรมนั้นเขียนขึ้นราว 25 ปีหลังวันเพนศเต ในวันนั้นเปาโลได้ลุกขึ้นประกาศพระกิตติคุณและมีคนถึง 3000 คนที่กลับใจใหม่ และต่อมาก็มีคนใหม่ๆมารับความรอดทุกวัน (กจ. 2-47) เปาโลรู้ว่าข่าวประเสริฐไม่เพียงประกาศแต่ในปาเลสไตน์เท่านั้น แต่ยังมีการประกาศในประเทศอื่นๆด้วย
ตัวเปาโลเองและเพื่อนร่วมงานก็ประกาศอย่างหนักในประเทศต่างๆแถบเมดิเตอร์เรเนี่ย เปาโลจึงตอบคำถามที่ท่านเองแต่งขึ้นโดยหยิบยกข้อความจากพระธรรมสดุดี 19-4 มาใช้เพื่อยืนยันว่าชาวยิวเกือบทุกหนทุกแห่งได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว
ดังนั้นชาวยิวจึงไม่มีข้อแก้ตัวว่าเขาไม่มีโอกาศที่จะได้ยินพระกิตติคุณ จัสติน มาร์เทอร์ (ผู้นำคริสตจักรในศตวรรษที่ 2) ได้เขียนไว้ว่า “ไม่มีคนของชนชาติใดที่จะอธิษฐานและโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าโดยไม่ออกนามของพระเยซูผู้ถูกตรึงกางเขนนั้น มีเขียนไว้ในหนังสือว่าในช่วงปลายยุคของอัครสาวกประมาณว่ามีคริสเตียนอยู่ราว 500.000 คนเลยทีเดียว

โรม 10 – 19
เปาโลคาดว่าผู้อ่านของท่านอาจจะโต้แย้งหรือไม่ก็อาจจะบอกว่าชาวยิวได้ยินข่าวประเสริฐจริงแต่ไม่เข้าใจ เปาดลเลยถามว่า “พลอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ” คำตอบของคำถามนี้มาจากพระคัมภีร์เดิมสองตอน คือ เฉลยธรรมบัญญัติ 32-21 และอิสยาห์ 65-1
โรม 10 – 20
เปาโลได้ยกข้อความจากพระคัมภีร์เดิม (อสย 65-1) มากล่าวเพื่อสนับสนุนสิ่งที่ท่านได้กล่าวไปในข้อก่อน อิสยาห์ได้พยากรณ์ว่าจะมีผู้ที่มาถึงพระคริสต์ ซึ่งเป็นชนชาติที่ไม่เคยร้องออกพระนามของพระเจ้า
โรม 10 – 21
ข้อความตอนนี้คัดลอกมาจากพระธรรมอิสยาห์ 65-2 เพื่อบอกถึงสภาพทางฝ่ายจิตวิญญาณของคนอิสราเอล ซึ่งไม่ได้เกิดจากการขาดโอกาสที่จะได้ยินพระกิตติคุณ หรือขาดความเข้าใจในเนื้อหาของพระกิตติคุณ แต่ที่พวกเขาปฏิเสธเพราะพวกเขาเป็นกบฏมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่สมัยโมเสสและต่อเนื่องมาจนถึงสมัยผู้เผยพระวจนะ และที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นคือพวกยิวยังปฏิเสธพระเยซูด้วยซ้ำ