การชี้แนะสำหรับสังคม โรม ๑๓-๑-๑๔
คริสตชนเป็นประชากรของพระเจ้าและอยู่ในอาณาจักรของความสว่าง แต่ในเวลาเดียวกันคริสตชนก็ยังดำเนินอยู่ในโลกนี้ ซึ่งเป็นอาณาจักรของความมืด ดังนั้น เปาโลจึงสอนบรรดาผู้เชื่อเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับผู้มีอำนาจปกครอง
โรม ๑-๗ เชื่อฟังผู้มีอำนาจ
ข้อ ๑-๗ นั้นเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของคริสเตียนต่อผู้ปกครองบ้านเมืองและต่อคนอื่นๆที่มีอำนาจเหนือเรา ในขณะที่เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ กรุงโรมเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันและเนโรเป็นจักรพรรดิ์ปกครองอยู่ (ในช่วงปี ๕๔-๖๘ )
ชาวยิวมีประสบการณ์จากอำนาจการปกครองของโรมันภายใต้จักรพรรดิ์องค์ก่อนคือ คลาวดิอัส ในปี ค.ศ ๔๙ คลาวดิอัสได้ออกกฏหมายกำจัดชาวยิวทั้งหมดจากกรุงโรม (กจ. ๑๘-๒) แต่ในปี ค.ศ ๕๔ เนโรอนุญาติให้ชาวยิวกลับมาอาศัยอยู่ในโรมได้อีกครั้งหนึ่ง
เปาโลตระหนักถึงความสำคัญในการลดความตึงเครียดระหว่างคริสเตียนกับผู้ปกครองบ้านเมือง เพราะหลายอย่างของอาณาจักรโรมันเป็นประโยช์นต่อการเผยแพร่พระกิตติคุณ เช่น ถนนที่ชาวโรมสร้างขึ้นส่งผลดีต่อการเดินทางประกาศเผยแพร่ ด้วยเหตุนี้เปาโลจึงต้องพูดถึงเรื่องคสัมพันธ์ของคริสเตียนต่อรัฐบาลและผู้ปกครองบ้านเมือง
โรม ๑๓ – ๑
คำว่า “ทุกคน” ในข้อนี้หมายถึงผู้เชื่อทุกคน เปาโลสอนพวกผู้เชื่อให้ยอมเชื่อฟังผู้ปกครองอาณาจักร เปาโลบอกในข้อนี้ว่าอำนาจทุกอย่าง “พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น” ความคิดนี้ไม่ใช่ความคิดใหม่ เพราะพระคัมภีร์ได้เปิดเผยให้เราเห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดว่าใครจะมีอำนาจหรือใครจะเสื่อมอำนาจลง
ดังที่ดาเนียลบอกกับกษัติรย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “เพื่อผู้มีชีวิตอยู่จะได้รู้ว่าพระเจ้าสูงสุดนั้นทรงครอบครองเหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์ ทรงมอบอาณาจักรแก่ผู้ใดก็ได้ตามแต่ชอบพระทัย ทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุดให้ปกครองพวกเขา (ดนล ๔-๑๗)
ว่ากันว่าระบบการปกครองของโรมเป็นระบบที่ยึดความยุติธรรมเป็นหลัก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คริสตชนก็ตาม
โรม ๑๓ – ๒
การขัดขืนอำนาจของผู้ปกครองเท่ากับขัดขืนอำนาจของพระเจ้า และผู้ที่ขัดขืนก็จะถูกลงโทษ (๑ ปต ๒-๑๓-๒๑)
โทษจากข้อ ๒ ที่จะได้รับนั้นเป็นโทษตามกฏหมายภายใต้การควบคุมของพระเจ้า เป็นการพิพากษาลงโทษจากพระเจ้าในวันพิพากษา ซึ่งเปาโลจะอธิบายชัดขึ้นในข้อ ๓-๔
โรม ๑๓ – ๓
ผู้ที่มีอำนาจปกครองนั้นได้รับอำนาจมาจากพระเจ้า ดังนั้น ผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้นก็ขัดขืนผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งเขาขึ้น นั่นก็เท่ากับว่าคนนั้นต่อต้านพระเจ้าและทำให้ตัวเองถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่เชื่อฟังและทำความดีไม่จำเป็นต้องกลัวผู้ที่มีสิทธิอำนาจ ผู้ที่มีอำนาจชอบคนที่ประพฤติดี
แต่ก็มีบางกรณีที่ผู้ปกครองประเทศไม่ได้ทำตามวัตถุประสงค์ของการปกครอง เช่น เนโรประกาศให้มีการข่มเหงคริสตจักรในกรุงโรม และมีคริสเตียนเป็นจำนวนมากเสียชีวิตทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิด ต่อมาจักรพรรดิ์องค์อื่นๆก็ทำแบบเดียวกันต่อเนื่องมาถึง ๒ ศตวรรษ จักรพรรดิ์เหล่านี้ไม่ได้ลงโทษคริสเตียนเพราะว่าพวกเขาทำผิด แต่เกิดจากการที่คริสเตียนไม่ยอมนมัสการรูปเคารพของพวกเขา
โรม ๑๓ – ๔
ผู้ปกครองเหล่านี้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และกำลังทำตามพระประสงค์ของพระองค์สำหรับโลกนี้ คือ การสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนนั่นเอง และในขณะเดียวกันพวกผู้นำเหล่านั้นก็มี “ดาบ” ซึ่งหมายถึงอำนาจในการลงโทษอยู่ด้วยนั่นเอง
แต่ในกรณีที่ผู้นำประเทศใช้อำนาจไปในทางที่ผิด หรือขัดกับน้ำพระทัยของพระเจ้าคริสตชนก็ต้องเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่า
โรม ๑๓ – ๕
ในข้อนี้เปาโลบอกเหตุผล ๒ ประการที่คริสเตียนจะต้องอยู่ใต้อำนาจของผู้ปกครอง ประการแรกคือ หลีกเลี่ยงพระอาชญาของพระเจ้า คือกลัวการถูกลงโทษนั่นเอง เหตุผลประการที่สองคือ เพราะจิตที่สำนึกผิดชอบ จิตสำนึกภายในของแต่ละคนจะบอกให้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
ความกลัวต่อการถูกลงโทษเป็นแรงกระตุ้นพื้นฐานที่ทำให้เราเชื่อฟังกฏหมาย แต่เปาโลกำลังบอกว่าคริสเตียนควรจะมีแรงกระตุ้นมากกว่านี้ คือไม่ใช่แค่กลัวการถูกลงโทษเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความถูกต้องทางศีลธรรมมากกว่ากลัวการถูกลงโทษ คริสเตียนควรทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมแม้ว่าจะไม่มีใครเห็นก็ตาม คริสเตียนควรตระหนักว่าตนเองต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม
โรม ๑๓ – ๖ – ๗
ความรับผิดชอบของคริสเตียนต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีมากกว่าการเชื่อฟัง คริสเตียนต้องเสียภาษีด้วย ในพระคัมภีร์เรียกภาษีว่า “ส่วยสาอากร” จุดประสงค์ของเงินภาษีก็เพื่อทำนุบำรุงบ้านเมืองและเพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่ประชาชน
ผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ปฏิบัติหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่ พวกเขาต้องได้รับการสนับสนุนด้วยภาษีจากประชาชนซึ่งรวมถึงคริสเตียนด้วย
หน้าที่ของประชาชนไม่เพียงเสียภาษีเท่านั้น แต่ยังต้องให้ความเคารพนับถือและให้เกียรติแก่ผู้ปกครองบ้านเมืองด้วย
ถ้าพูดถึงในสมัยของเปาโล ผู้ปกครองที่เปาโลหมายถึงน่าจะเป็น กษัตริย์ซะมากกว่า
สำแดงความรัก (ข้อ ๘-๑๐)
หลังจากได้ศึกษาถึงข้อควรปฏิบัติของผู้เชื่อเกี่ยวกับผู้มีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองแล้ว เปาโลได้เขียนเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติของผู้เชื่อต่อผู้อื่นด้วย เปาโลได้เปลี่ยนจุดเน้นจากการเมืองมาสู่ชีวิตในชุมชนและเรียกร้องให้คริสเตียนแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ เพราะข้อควรปฏิบัติของคริสเตียนต่อสังคมไม่ได้จบลงตรงความเป็นพลเมืองที่ดีและเชื่อฟังผู้ปกครองบ้านเมืองเท่านั้น แต่ยังควรปฏิบัติเช่นเดียวกันต่อทุกๆคนด้วย
โรม ๑๓ – ๘
เปาโลนั้นเรียกร้องให้คริสเตียน “อย่าเป็นหนี้ “ โดยเฉพาะเรื่องหนี้ความรักครับ หนี้ความรักนั้นเป็นภาษาเปรียบเทียบที่หมายถึงความรับผิดชอบที่จะแสดงความรักต่อผู้อื่นนั่นเอง
การเป็นคริสเตียนนั้นจำเป็นที่เราจะต้องมีการปฏิบัติที่สุภาพอ่อนโยน เพื่อเป็นประโยชน์ในการประกาศต่อผู้อื่น เพราะในบทที่แล้วเปาโลก็ได้บอกไว้เช่นกันว่าให้ “แสดงความเป็นมิตรต่อคนแปลกหน้า”
เปาโลพูดต่อไปว่า “ผู้ที่รักเพื่อนบ้านก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว” พระเยซูได้สรุปธรรมบัญญัติไว้เป็น ๒ ข้อคือ “รักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจของท่านและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง” การรักพระเจ้านั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับคริสเตียน แต่การรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเองมักจะเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ยาก เปาโลจึงบอกว่าถ้าใครรักเพื่อนบ้านได้ คนนั้นก็ได้ปฏิบัตามธรรมบัญญัติได้ครบถ้วน เพราะความรักคือสาระสำคัญของธรรมบัญญัติ
โรม ๑๓ – ๙
ในข้อนี้เปาโลได้ยกข้อความเจาะจงในด้านสังคม ๔ ข้อจากพระบัญญัติ ๑๐ ประการ พระบัญญัติเหล่านี้คือ อย่าล่วงประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์และอย่าโลภ ซึ่งเป็นพระบัญญัติข้อที่ ๖,๗,๘ และ ๑๐ ในธรรมบัญญัติสิบประการ (อพย ๒๐-๑๓-๑๕ , ๑๗)
เปาโลสรุปว่าพระบัญญัติเหล่านี้ (รวมทั้งพระบัญญัติอื่นๆด้วย) อยู่ภายใต้พระธรรมที่ท่านยกมาจากเลวีนิติ ๑๙-๑๘ ที่ว่า “ท่านจงรักเพื่อนบ้านเหมือรักตัวเอง” มีคำถามเกิดขึ้นในข้อนี้ว่าเปาโลกำลังต้องการจะบอกอะไรแก่ผู้อ่านของท่าน
Douglas Moo ได้ให้แนวทางไว้สองประการ ประการที่หนึ่ง คือ เปาโลกำลังหมายความว่าความรักเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งในการเชื่อฟังกฏบัญญัติข้ออื่นๆ เราคงไม่สามารถทำตามกฏบัญญัติเหล่านั้นได้ถ้าปราศจากความรัก ประการที่สอง คือ เปาโลหมายความว่าความรักสามารถทดแทนกฏบัญญัติอื่นๆได้คือ ถ้าเรารักเพื่อนบ้านก็แสดงว่าเราสามารถปฏิบัติตามกฏอื่นๆได้โดยอัตโนมัติ
โรม ๑๓ – ๑๐
ความรักไม่ทำอันตราย ความรักนี้เองที่จะทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ และถ้าทุกคนมีความรักที่สมบูรณ์ก็ไม่จำเป็นต้องมีกฏหมาย เพราะเราจะไม่พูดหรือกระทำการใดๆที่ผิดต่อพระเจ้าหรือทำร้ายคนอื่นเลย
การตื่นตัว (ข้อ ๑๑ – ๑๔)
โรม ๑๓ – ๑๑
เปาโลบอกว่านี่เป็นเวลาที่ผู้เชื่อจะตื่นจาก “หลับ” เปาโลใช้คำนี้ในความหมายของความเกียจคร้านทางฝ่ายวิญญาณ เปาโลรู้สึกว่าคริสเตียนชาวโรมควรจะ “ตื่น” และใส่ใจกับการดำเนินชีวิตอย่างคนของพระเจ้า
เรื่องความรอดในพระคัมภีร์นั้นมีความหมายทั้งในอดีต ปัจจุบนและอนาคตด้วย แต่ในข้อนี้หมายถึงความรอดอันสมบูรณ์แบบที่ธรรมิกชนกำลังจะได้รับ คือการได้อยู่กับพระผู้เป็นเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาครั้งที่สอง
โรม ๑๓ – ๑๒
เปาโลให้เหตุผลว่าทำไมคริสเตียนจะต้องตื่นตัวในฝ่ายวิญญาณ คำว่า “กลางคืน” นั้นหมายถึงเวลาที่ซาตานกำลังทำงาน
ผู้เขียนพระคัมภีร์มักใช้คำว่า “ความมืด” กับ “ความสว่าง” เพื่อเปรียบเทียบระหว่าง “ความผิดบาป” กับ “ความชอบธรรม”
เปาโลใช้คำอุปมานี้ใน ๒ เปโตร ๑-๑๙ ว่า “จะเป็นการดีถ้าท่านทั้งหลายจะถือตามคำนั้น เพราะคำนั้นเป็นเสมือนแสงประทีปที่ส่องสว่างในที่มืดจนกว่าแสงอรุณจะขึ้น และดาวประจำรุ่งจะผุดขึ้นในใจของท่านทั้งหลาย”
คำว่า “รุ่งเช้า” หมายถึงการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูคริสต์ เปาโลบอกว่ากำลังใกล้เข้ามาแล้ว ท่านไม่ได้บอกว่าจะมาวันนั้นหรือวันนี้ ชั่วโมงนั้นหรือชั่วโมงนี้ เปาโลเพียงแต่บอกว่า “ใกล้เข้ามาแล้ว”
“จงเลิกการกระทำของความมืด” และหันมาดำเนินชีวิตในทางชอบธรรม และ “จงสวมเครื่องอาวุธของความสว่าง” จงทำทันทีเพราะคริสเตียนคือทหารของพระเยซูคริสต์ จึงจำเป็นที่จะต้องตื่นตัวและเตรียมอาวุธให้พร้อมรบอยู่เสมอ
โรม ๑๓ – ๑๓
เปาโลบอกว่าคริสเตียนจะต้องประพฤติตัวให้เหมาะสมกับการเป็นลูกของกลางวัน และในการดำเนินชีวิตประจำวันของคริสเตียนนั้น เปาโลได้พูดถึงความบาป ๖ อย่างที่ผู้คนมักจะเข้าไปเกี่ยวข้อง และท่านสั่งให้คริสเตียนเลิกยุ่งเกี่ยวกับความบาปเหล่านั้น
การห้ามไม่ให้เสพสุราจนเมามายนอกจากในข้อนี้แล้วยังพบได้ในลูกา ๒๑-๓๔ และกาลาเทีย ๕-๒๑
โรม ๑๓ – ๑๔
คริสเตียนจะต้องห่อหุ้มตัวเองด้วยพระลักษณะของพระเยซูคริสต์ และคริสเตียนไม่ควรคิดถึงสิ่งต่างๆซึ่งเป็นการสนองต่อตัณหาของธรรมชาติบาป ชีวิตคริสเตียนควรเป็นชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น